กาลิเลโอ ในบทบาทโหราจารย์ประจำราชสำนักเมดิชี

พวกเราส่วนใหญ่มักรู้จัก กาลิเลโอ ในฐานะของนักวิทยาศาสตร์คนสำคัญ ผู้ซึ่งค้นพบดวงจันทร์สี่ดวงของดาวพฤหัสด้วยการส่องกล้องโทรทรรศน์ ผู้สนับสนุนแนวคิดดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะของโคเปอร์นิคัส จนถูกคริสตจักรไต่สวนและพิพากษาว่าเป็นพวกนอกรีต และกักขังเขาไว้ในบ้านตลอดบั้นปลายชีวิตของเขา เขาได้รับการขนานนามว่า บิดาแห่งวิทยาศาสตร์สมัยใหม่

แต่กาลิเลโอนั้น ยังมีบทบาทอีกด้านหนึ่งที่คนไม่ค่อยรู้ นั่นคือ เขาเป็น โหร ที่ทำหน้าที่ทำนายดวงชะตาให้กับตระกูลเมดิชี ผู้อุปถัมภ์กาลิเลโอ ให้สามารถทำงานวิทยาศาสตร์ที่เขารักได้ ผู้นำตระกูลเมดิชีในยุคนั้นคือ คอสซิโม ที่ 2 แกรนด์ดยุกแห่งทัสคานี ผู้ปกครองแคว้นทัสคานีในยุคนั้น

ตอนที่กาลิเลโอ ส่องกล้องโทรทรรศน์ค้นพบดวงจันทร์ 4 ดวงของดาวพฤหัส เขาเรียกดวงจันทร์ทั้งสี่ว่า ดาวแห่งตระกูลเมดิชี (Medician stars) เพื่อเป็นตัวแทนของลูกชาย และน้องชายทั้งสาม ของคอสซิโมที่ 2 โดยกาลิเลโอ ถือว่า ดาวพฤหัส ประมุขของดาวศุภเคราะห์ทั้งหลาย คือ คอสซิโมที่ 2 เจ้านายของเขานั่นเอง

กาลิเลโอ

เราลองมาดูสำนวนการพยากรณ์ของ กาลิเลโอ ที่เขียนถวายแกรนด์ดยุกแห่งทัสคานี ยุคนั้น ดังนี้

“ดาวพฤหัสบดี ณ ดวงชะตากำเนิดของฝ่าพระบาท ได้เคลื่อนผ่านหมอกมืดมัวของขอบฟ้าตะวันออก มาอยู่ ณ ตำแหน่งกลางฟ้า (Midheaven เรือนที่ 10) ส่องแสงสว่างไปยังทิศตะวันออก จากบัลลังก์แห่งนั้น ดาวพฤหัสบดีได้จ้องมองลงมายังการประสูติของผู้ทรงบารมี สาดแสงยิ่งใหญ่ตระการตา ผ่านลงมายังอากาศแสนบริสุทธิ์ เพื่อให้ลมหายใจแรกของร่างกายและจิตวิญญาณน้อย ๆ ของพระองค์ ซึ่งประดับด้วยอาภรณ์ของพระเจ้าและเครื่องประดับแห่งผู้สูงศักดิ์ ได้รับพลังและสิทธิอำนาจแห่งจักรวาล”

และอีกตอนหนึ่ง กาลิเลโอ ได้พูดถึงดวงจันทร์ทั้งสี่ของดาวพฤหัสที่เขาค้นพบว่า

“อันที่จริง ดูเหมือนว่าพระผู้สร้างดวงดาวได้เตือนข้าพระองค์ให้ขนานนามดาวที่ค้นพบใหม่เหล่านี้ด้วยพระนามอันลือเลื่องของพระองค์ก่อนนามอื่นใด ดวงดาวเหล่านั้นเปรียบเสมือนบุตรหลานอันทรงค่าของดาวพฤหัสบดี ไม่เคยหนีห่างไปไหนไกล ใครเล่าจะไม่รับรู้ถึงความเมตตากรุณา จิตวิญญาณอันอ่อนโยน กริยาอันน่าพึงใจ ความวิเศษแห่งเลือดขัตติยะ ความงามสง่าเมื่อยามทรงงาน และความกว้างขวางแห่งพระราชอำนาจในการปกครอง คุณลักษณะเช่นนี้ล้วนปรากฏแจ่มชัดในองค์ฝ่าพระบาท ข้ากล่าวว่า ใครเล่าจะไม่รู้ว่าคุณลักษณะเหล่านี้ย่อมส่องออกมาจากดาวพฤหัสบดี เป็นรองเพียงพระเจ้าผู้เป็นต้นกำเนิดแห่งความดีงามทั้งปวง”

ภาพประกอบในโพสต์นี้ ภาพแรกคือดวงชะตาของ คอสซิโม ที่ 2 เมดิชี แกรนด์ดยุกแห่งทัสคานี ที่เขียนโดยลายมือของ กาลิเลโอเอง เป็นรูปดวงชะตาที่นิยมในยุคนั้น

ดวงชะตา คอสซิโมที่ 2 เมดิชี แกรนด์ดยุกแห่งแคว้นทัสคานี คำนวณและเขียนโดย กาลิเลโอ

ส่วนภาพที่ 2 เป็นดวงชะตาของ แกรนด์ดยุก คอสซิโมที่ 2 ในรูปแบบดวงชะตาที่นิยมในปัจจุบัน โดยใช้เรือนชะตา Regiomontanus

ดวงชะตา คอสซิโมที่ 2 เมดิชี แกรนด์ดยุกแห่งแคว้นทัสคานี เขียนในรูปแบบดวงชะตาที่นิยมในปัจจุบัน โดยใช้เรือนชะตา Regiomontanus

น่าแปลกที่ กาลิเลโอ เน้นเฉพาะดาวพฤหัสในเรือนที่ 10 แต่ไม่ได้กล่าวถึง ดาวเสาร์ ที่กำลังเล็งลัคนาในดวงกำเนิดของ คอสซิโมที่ 2 เขาอาจตั้งใจข้ามไม่พูดถึงดาวเสาร์ไปเลย หรือบางทีเขาอาจเขียนไว้แต่ไม่มีหลักฐานมาถึงยุคปัจจุบัน ก็ได้

จากหลักฐานที่มี จึงยืนยันได้ว่า กาลิเลโอ บิดาแห่งวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ เป็นโหรคนสำคัญในราชสำนักเมดิชี จริง เพียงแต่ที่เราไม่รู้กันอาจเป็นเพราะคนเขียนตำราเกี่ยวกับกาลิเลโอ พยายามเลี่ยงไม่ให้คนอ่านรู้ว่า ต้นแบบนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่อย่าง กาลิเลโอ ก็เป็นนักโหราศาสตร์เหมือนกัน อาจจะกลัวคนจะหาว่ากาลิเลโอยังงมงายอยู่ แต่หารู้ไม่ว่า โหราศาสตร์นั้นแท้จริงแล้วก็เป็นศาสตร์ที่ลึกซึ้ง ตั้งอยู่บนการใช้เหตุและผล ไม่ได้เป็นวิชางมงาย เหมือนอย่างที่คนเขากล่าวหากัน

เขียนโดย พัลลาส Pallas
เนื่องในวันคล้ายวันเกิด ปรมาจารย์โหร กาลิเลโอ กาลิเลอี
16 กุมภาพันธ์ 2022

เมื่อศิลปินจินตนาการว่า ถ้าโหราศาสตร์เป็นมนุษย์ จะมีหน้าตา ลักษณะอย่างไร

ภาพสีน้ำมันบนผ้าใบ “Personification of Astrology (บุคลาธิษฐานแห่งโหราศาสตร์)” วาดโดย Guercino (กูเออร์ชิโน) ศิลปินชาวเมืองโบโลญญา อิตาลี ในยุคกลางศตวรรษที่ 17

ภาพสีน้ำมันบนผ้าใบ “Personification of Astrology (บุคลาธิษฐานแห่งโหราศาสตร์)”

กูเออร์ชิโน ได้แนวทางการวาดภาพนี้มาจากหนังสือของ Cesare Ripa ซึ่งเป็นหนังสือที่อธิบายเรื่องแต่ละเรื่องออกมาเป็นรูปบุคคล ที่เราเรียกว่า บุคลาธิษฐาน (Personification) นั่นเอง

ในหนังสือของ เซซาเร กำหนดให้ โหราศาสตร์ (Astrology) เป็น สตรี และบรรยายในหนังสือไว้ว่า “เธอคือศาสตร์ที่ทุ่มเทสนใจศึกษาในเรื่องเทหวัตถุบนฟากฟ้า สวมใส่เสื้อผ้าสีน้ำเงิน สีแห่งท้องฟ้าและดวงดาว ปีกของเธอแสดงถึงความคิดของเธอมุ่งไปที่เรื่องราวที่สูงขึ้นไป และทำให้ระลึกว่า ดวงดาวนั้นอยู่ไกลและยากที่จะเอื้อมถึง ไม้คทาและมงกุฎแห่งดวงดาวแสดงถึงความโดดเด่นของดวงดาวเหนือเทหวัตถุอื่นบนท้องฟ้า อุปกรณ์เครื่องมือดาราศาสตร์แสดงว่า โหราศาสตร์เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการวัดและติดตามดวงดาวเพื่อทำความเข้าใจ หนังสือและม้วนบันทึกคือองค์ความรู้ที่บันทึกไว้ นกอินทรีคือนกที่บินสูงที่สุดในบรรดานกทั้งหลาย และอยู่ใกล้ดวงดาวมากไปกว่าคนอื่น”

ศิลปิน กูเออร์ชิโน ได้นำคำบรรยายดังกล่าวมาวาดเป็นภาพนี้ โดยตัดรายละเอียดบางประการออกไป เช่น ปีก คทา ฯลฯ แล้วมาเน้นที่ ทรงกลมฟ้าจำลอง (Armillary Sphere) ซึ่งเป็นแบบจำลองที่ผู้สังเกตการณ์อยู่บนพื้นโลก ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของโหราศาสตร์

ปัจจุบัน ภาพนี้จัดแสดงอยู่ที่ Blanton Museum of Art เมืองออสติน รัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา

Adele อัลบั้ม 30 กับวงรอบดาวเสาร์

วันนี้ (15 ต.ค. 2021) เป็นวันที่ อเดล นักร้องชาวอังกฤษ ปล่อยซิงเกิ้ล Easy On Me หลังจากไม่ได้ออกอัลบั้มมา 6 ปี อัลบั้มเพลงของอเดล ใช้เลขอายุเป็นชื่ออัลบั้มเสมอ ตั้งแต่ 19, 21, 25

พอมาถึงอัลบั้มที่กำลังจะออกในวันที่ 19 พ.ย. นี้ ในชื่อว่า 30 ซึ่งมาจากจุดเปลี่ยนในชีวิตของเธอตอนอายุ 30 ปี (ตอนนี้เธออายุ 33 ปีแล้ว)

อเดล ขึ้นปกนิตยสาร Vogue ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2021

ปี 2018 อเดลในวัย 30 ปี เป็นปีที่เธอได้แต่งงานกับคนรักที่คบกันมา 7 ปีและมีลูกชายด้วยกัน (เธอคลอดลูกชายเมื่อปี 2012) ซึ่งดูเหมือนจะเป็นปีที่น่าจะมีความสุข แต่กลับกลายว่า เธอแยกกันอยู่กับสามีภายในปีนั้น

พอเห็นชื่ออัลบั้มเธอ ผมก็คิดถึง วงรอบดาวเสาร์ ค้นดูก็พบว่า เธอพูดเองว่า วงรอบดาวเสาร์ (Saturn Return) ทำชีวิตเธอปั่นป่วนมาก เธอโพสต์บนโซเชียลมีเดีย เมื่อ 13 ต.ค. ที่ผ่านมา เกี่ยวกับอัลบั้มชุดนี้ และบอกเล่าชีวิตในวัย 30 ปีว่า

Not to forget the one who’s wild and says “It’s your Saturn return babes fuck it. You only live once.”
(ขออนุญาตไม่แปล เพราะอาจทำให้อรรถรสของภาษาลดลงไป)

เธอระบุในโพสต์เมื่อ 13 ต.ค.ว่า ชื่ออัลบั้ม 30 คือวัย 30 ปีของเธอ (เมื่อ 3 ปีก่อน) เป็นปีที่วงรอบดาวเสาร์ (Saturn Return) เล่นงานเธอหนักมาก

วงรอบดาวเสาร์ (Saturn Return) เป็นวงรอบที่ดาวเสาร์โคจรมายังตำแหน่งดาวเสาร์เดิมเมื่อตอนที่เราเกิดมา ใช้เวลาราว 30 ปี หรือถ้าจะให้ละเอียดก็อยู่ที่ 29.5 ปี คนทุกคนเมื่ออายุเข้าวัย 29-30 ปี ก็จะเจอการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในชีวิต บ้างก็เปลี่ยนงาน บ้างก็ย้ายบ้าน บ้างก็เลิกกับคนรัก หรือบ้างก็แต่งงาน ถ้าใช้ภาษาภาพยนตร์ วัยนี้คือวัย coming of age เป็นวัยที่ถึงจุดเปลี่ยนสำคัญและเรียนรู้ที่จะเติบโตไปอีกระดับ

วงรอบดาวเสาร์จะกลับมาอีกครั้งเมื่อเราอายุประมาณ 58-60 ปี และรอบสุดท้ายสำหรับคนที่อายุยืน ก็คือ 88-90 ปี แต่ละวงรอบ เราก็จะได้เรียนรู้การเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ ในศาสนาพุทธเรียกว่า ไตรลักษณ์ ประกอบ ทุกขัง – ความไม่สามารถคงสภาพเดิมอยู่ได้ , อนิจจัง – ความไม่เที่ยง และ อนัตตา – ความไม่ใช่ตัวตนของเรา

ดวงทินวรรษ (Solar Return) เมื่อ 5 พ.ค. 2018 ปีที่เธออายุครบ 30 ปี ดาวเสาร์จรมาเท่ากับเสาร์กำเนิด และเล็งลัคนากำเนิดของเธอด้วย ชีวิตคู่ของเธอจึงสิ้นสุดลงในวัยดังกล่าว

สำหรับ อเดล นั้น ดวงกำเนิดของเธอ มีเสาร์เล็งลัคนาอยู่แล้ว (เนปจูนก็เล็งอยู่ด้วย) พอตอนที่เธออายุครบ 30 ปี ดวงทินวรรษ (Solar Return) ของเธอ ดาวเสาร์ก็มาตรงใกล้จุดเดิมเล็งลัคนากำเนิด มีเนปจูนเล็งลัคนาทินวรรษ จึงเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงในเรื่องคู่ครองไปไม่ได้

ส่วนดวง Solar Return ของอเดลปีนี้ ในวัย 33 ปี ดาวอังคารจรอยู่เรือนที่ 1 เธอจึงกลับมาทำงานเพลงอย่างคึกคัก ไม่สามารถพักอยู่เฉยได้แล้ว ,ดาวพฤหัสกุมเมอริเดียนทินวรรษ เธอก็จะประสบความสำเร็จ (ซิงเกิ้ลใหม่ ปล่อยมา ไม่ถึง 8 ชั่วโมง คนดูมากกว่า 15 ล้านวิวแล้ว)

ดวงทินวรรษปีนี้ 5 พ.ค. 2021 ดาวอังคารอยู่เรือน 1 กลับมาทำงานเพลง อยู่นิ่งไม่ได้ และพฤหัสกุมเมอริเดียน จะเป็นปีที่เธอประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน

เธอให้สัมภาษณ์กับ Vogue ทั้งฉบับ British และ American ว่า เธอทำอัลบั้ม 30 ชุดใหม่ของเธอ เพื่ออธิบายให้ลูกชายวัย 9 ขวบของเธอเข้าใจว่า ทำไมเธอกับพ่อของเขาต้องหย่าร้างกัน

“ฉันต้องการอธิบายให้เขาฟังผ่านบทเพลง เมื่อเขาอายุถึงวัย 20 หรือ 30 ปี ว่า ฉันเป็นใครและทำไมฉันเลือกที่จะเปลี่ยนชีวิตทั้่งชีวิตของเขา เพื่อแสวงหาความสุขในชีวิตของฉัน มันคงทำให้เขาไม่มีความสุข และมันเป็นบาดแผลที่แท้จริงของฉัน ที่ยังไม่รู้เลยว่าจะเยียวยารักษาได้หรือไม่”

เนื้่อร้องเพลง Easy On Me :
There ain’t no gold
In this river
That I’ve been washing my hands in forever
I know there is hope
In these waters
But I can’t bring myself to swim
When I am drowning
In this silence baby let me in
Go easy on me baby
I was still a child
Didn’t get the chance to
Feel the world around me
I had no time to choose
What I chose to do
So go easy on me
There ain’t no room
For things to change
When we are both so deeply
Stuck in our ways
You can’t deny how hard I have tried
I changed who I was
To put you both first
But now I give up
I had good intentions
And the highest hopes
But I know right now
It probably doesn’t even show

ฟังเพลง Easy On Me ซิงเกิ้ลแรกของอัลบั้ม 30 ที่ปล่อยออกมาวันนี้ ได้ที่

************************
เขียนโดย พัลลาส (Pallas)
15 ตุลาคม 2021
************************

ว่าด้วย วันวิสาขบูชา, พระใหญ่วัดไทโดจิ เมืองนารา, คาถาบูชาพระไวโรจนะพุทธเจ้า และไพ่ทาโรต์ The Sun

วันนี้ 26 พฤษภาคม 2564 เป็นวันวิสาขบูชา ซึ่งชาวพุทธน้อมรำลึกถึงเหตุการณ์ที่พระพุทธเจ้า ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ในวันเพ็ญวิสาขะ เดือน ๖ ในบรรดาเหตุการณ์ทั้งสามนี้ ถ้านับเหตุการณ์ที่เป็นจุดเริ่มต้นของพระพุทธศาสนา ก็ต้องถือว่า การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เป็นจุดเริ่มต้นของพระศาสนา เมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้ บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ รู้แจ้งถึงธรรมทั้งปวง เพราะว่าหลังจากเหตุการณ์นี้แล้ว พระพุทธเจ้าได้ทรงเผยแผ่พระธรรมไปยังคนทั้งหลาย จนก่อเกิดพระพุทธศาสนา อันเป็นศาสนาหลักของประเทศไทยในปัจจุบัน

เหตุการณ์ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ได้ปรากฏในพระสูตรสำคัญของศาสนาพุทธ มหายาน ที่เรียกว่า อวตังสกสูตร เป็นพระสูตรที่มีขนาดยาวและมีความลึกซึ้งที่สุดสูตรหนึ่งของมหายาน เนื้อหาตอนหนึ่งกล่าวถึงเหตุการณ์ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ณ โคนไม้พระศรีมหาโพธิ โดยได้พูดถึง เรื่องราวของพระไวโรจนะพุทธเจ้า และพุทธเกษตรของพระองค์ อันเป็นรากฐานความเชื่อศรัทธาในพระไวโรจนะพุทธเจ้า ซึ่งเป็นคนละองค์กับ เจ้าชายสิทธัตถะ พระบรมศาสดา

พุทธมหายานนั้น นับถือพระพุทธเจ้าหลายพระองค์ องค์สำคัญองค์หนึ่งคือ พระมหาไวโรจนะพุทธเจ้า ซึ่งในประเทศญี่ปุ่นเรียกกันว่า ไดนิชิ เนียวไร (Dainichi Nyorai 大日如来) คำว่า เนียวไร นั้นแปลว่า พระพุทธเจ้า ส่วนคำว่า ไดนิชิ มาจากคำสองคำ คือ ได แปลว่า ใหญ่ และ นิชิ แปลว่า ดวงอาทิตย์ ซึ่งก็เป็นการถอดความหมายมาจากรากศัพท์สันสกฤต คือ มหา (ใหญ่) + ไวโรจนะ (แสงสว่างเจิดจ้าดุจดวงอาทิตย์)​ พระมหาไวโรจนะพุทธเจ้า ทรงประทับอยู่ศูนย์กลางจักรวาล ทรงส่องรัศมีแสงสว่างแห่งเมตตาและปัญญาไปทั่วทั้งจักรวาล ส่องเข้าไปถึงในใจของมนุษย์ทั้งชายและหญิง เช่นเดียวกับพระอาทิตย์ที่ส่องแสงมาบนโลก

เมืองนารา ประเทศญี่ปุ่น เคยเป็นเมืองหลวงในยุคศตวรรษที่ 8 เป็นยุคที่ศาสนาพุทธได้วางรากฐานอย่างมั่นคงในญี่ปุ่น จักรพรรดิโชมุ (ครองราชย์ช่วง ค.ศ. 724-749) ทรงเชื่อว่า หากศาสนาพุทธได้เผยแผ่ในญี่ปุ่นแล้ว จะทำให้ราชอาณาจักรของพระองค์สงบสุขและรุ่งเรือง จึงทรงมีพระบัญชาให้สร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ อันเป็นตัวแทนแห่ง พระมหาไวโรจนะพุทธเจ้า ขึ้น ทรงระดมทรัพยากรและเรี่ยไรรับบริจาคจากทั่วประเทศ ได้ส่งพระเถระกิโอกิ (Gyoki) เดินทางไปทั่วประเทศเพื่อรับบริจาคจากประชาชนทุกหมู่เหล่าทุกระดับชั้นมาร่วมกันสร้างพระองค์ใหญ่นี้ (นอกจากงานเผยแผ่ศาสนาแล้ว ท่านกิโอกิ ยังได้จัดทำแผนที่ระหว่างเดินทางเผยแผ่พระศาสนาไปทั่วประเทศจนได้ชื่อว่าเป็น ผู้ริเริ่มทำแผนที่ขึ้นในญี่ปุ่น และหลังจากท่านมรณภาพ ได้รับการยกย่องเป็น พระโพธิสัตว์ Bosatsu)

No photo description available.
พระใหญ่ ไดบุทสึ วัดโทไดจิ เมืองนารา ประเทศญี่ปุ่น

การสร้างพระใหญ่องค์นี้ ใช้เวลานาน 6 ปี (ค.ศ. 743-749) ว่ากันว่าใช้ถ่านไม้ในการหลอมโลหะกว่า 164,000 ลูกบาศก์ฟุต ใช้โลหะสัมฤทธิ์หลายร้อยตัน องค์พระสูง 15 เมตร (เฉพาะเศียร สูง 5.3 เมตร) แต่ได้นำพิธีเบิกเนตรองค์พระในปี ค.ศ. 752 โดยมีพระเถระจากอินเดีย พระโพธิเสนา มาทำพิธีเบิกเนตรด้วย เป็นพระราชพิธีเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่มาก

May be an image of temple
ด้านข้างองค์พระ

ถ้าใครไปเที่ยวเมืองนารา ห้ามพลาดที่จะไปกราบสักการะพระใหญ่ วัดโทไดจิ จริง ๆ

สำหรับผู้สนใจในพิธีกรรมตามแบบฉบับมหายาน ผมมีเรื่องมาฝาก 2 เรื่อง เรื่องแรก คือ คาถาที่ใช้สวดบูชาพระมหาไวโรจนะพุทธเจ้า ไดนิชิเนียวไร อันที่จริง มีอยู่หลายคาถา ผมขอนำมาแบ่งปัน 2 คาถา คาถาแรกเป็นภาษาญี่ปุ่น สวดว่า

โอม อะบิราอุนเค็น บาซารา ดาโตะบัน
on abiraunken basara datoban
オン・アビラウンケン・バサラ・ダトバン

ส่วนอีกคาถา มาจากภาษาสันสกฤต

No photo description available.
คาถาบูชาพระมหาไวโรจนะพุทธเจ้า

โอม อะโมฆะ ไวโรจนะ มหามุทรา มณี ปัทมะ ชะวะละ ประ วะ รัตตะ ยะ หูม
oṃ amogha vairocana mahāmudra maṇipadma jvāla pravarttaya hūṃ

การสวดแบบสันสกฤตนี้ สามารถไปฟังการสวดเป็นทำนองเพลงได้จาก เพลง Pervasive Luminoisty โดย Ito Kayo ในอัลบั้ม Vairocana Buddha Mantra ตาม link นี้ครับ https://youtu.be/BcbRvgUBbfI

No photo description available.
มุทรา เร็ตสึ

ส่วนคนที่เคยได้ยินเรื่องราวของมหายาน จะทราบว่า จะมีท่า มุทรา หรือ ปางมือ ที่เป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ หรือเทพเจ้าแต่ละองค์ สำหรับ พระไวโรจนะพุทธเจ้า นั้น จะเป็นมุทรา ปาง เรทสึ (Retsu) ซึ่งเป็นปางแห่งภูมิปัญญาโดยมือซ้ายจะกำขึ้น นิ้วชี้ซ้ายชี้ตรงขึ้นมา มือขวากุมนิ้วชี้ซ้าย ให้นิ้วหัวแม่โป้งขวากดที่เล็บนิ้วชี้ซ้าย และบริกรรมว่า

โอม อิโระตาฮิ ชะโนกะ จิบะ ไทโซวะคะ
On irotahi chanoga jiba tai sowaka

No photo description available.
ไดนิชิเนียวไร พระมหาไวโรจนะพุทธเจ้า ในปางมุทรา เรทสึ

ใครสนใจก็ลองทำมุทราได้นะครับ

และขอส่งท้ายสำหรับนักอ่านไพ่ทาโรต์ ผมคิดว่า ถ้าให้เลือกไพ่ที่เป็นตัวแทนลักษณะของพระมหาไวโรจนะพุทธเจ้า ผมก็คงเลือก ไพ่ดวงอาทิตย์ The Sun ไพ่เมเจอร์ หมายเลข 19 ตัวแทนแห่งแสงสว่างที่ส่องไปทั่ว ทำให้เกิดความสดใส ความมีชีวิตชีวา ลองศึกษาเรื่องราวของพระมหาไวโรจนะพุทธเจ้า มาเทียบกับคุณลักษณะของไพ่เดอะซัน เราอาจได้ข้อคิดดี ๆ ที่จะทำให้ชีวิตเราสดใส ร่าเริง มีชีวิตชีวา นำชีวิตไปสู่ความรุ่งเรืองครับ

เขียนโดย พัลลัส
26 พฤษภาคม 2564

จักรราศี ชุดประจำชาตินางงามเปอร์โตริโก

ในการประกวดนางงามจักรวาล Miss Universe จะมีการประกวดชุดประจำชาติที่สาวงามตัวแทนแต่ละชาติจะต้องนำมาสวมใส่เพื่อสะท้อนอัตลักษณ์ที่เกี่ยวกับประเทศของตนเอง นางงามและทีมงานจากแต่ละประเทศก็จะทุ่มเทความคิดสร้างสรรค์เพื่อออกแบบ ตัดเย็บ รวมถึงออกแบบการเดินโชว์ออกมาในการประกวด อย่างปีนี้ อแมนด้า ออบดัม Miss Universe Thailand ก็แต่งชุดปลากัด ที่สวยงามอลังการ เป็นชุดประจำชาติ

แต่ที่สะดุดนักโหราศาสตร์อย่างผมก็คือ นางงามจากเปอร์โตริโก Estefania Soto Torres ที่สวมใส่ชุดประจำชาติเป็นลายจักรราศี เพราะผมก็สงสัยว่า ประเทศเปอร์โตริโก เกี่ยวข้องอะไรกับโหราศาสตร์ จึงต้องนำมาเป็นแนวคิดการสร้างสรรค์ชุดประจำชาติ

May be an image of 1 person

พอได้ดูคลิปที่ เอสเตฟานี โซโต้ ในชุดประจำชาติเดินออกมาบนเวที จึงเข้าใจว่าเพราะอะไร สังเกตตอนที่เธอหมุนตัวโชว์ชุดด้านหลัง เราจะเห็นลายด้านหลัง เป็นรูปคนคนหนึ่ง และมีคำว่า “MUCHO MUCHO AMOR” ล้อมรอบ คำว่า “Mucho Mucho Armor” นี้ เป็นภาษาสเปน แปลว่า รักมากมาก (Much Much Love) เป็นชื่อหนังสารคดีทาง Netflix ที่พูดถึงชีวประวัติของ Walter Mercado หมอดูชื่อดังแห่งภูมิภาคละตินอเมริกา ซึ่งเป็นชาวเปอร์โตริโก และเพิ่งจะถึงแก่กรรมไปเมื่อปี 2019 ไม่นานมานี้เอง

May be an image of 1 person

วอลเตอร์ เมอร์คาโด เป็นนักโหราศาสตร์, นักแสดง, แดนเซอร์ และนักเขียน เป็นโหรชื่อดังที่มีรายการโทรทัศน์ของตนเองที่โด่งดังมาก ออกอากาศในประเทศเปอร์โตริโก, ภูมิภาคละตินอเมริกา และสหรัฐอเมริกา อยู่หลายสิบปี กล่าวกันว่าเขาคือปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมในสังคมฮิสแปนิกเลยทีเดียว

May be an image of 1 person and text that says 'S Aquarius, can see strength, because you are strong now.'

วอลเตอร์ เมอร์คาโด เกิดเมื่อ 9 มีนาคม 1932 เมื่อรู้วันเกิดเขา เราก็รู้ว่าดวงอาทิตย์เขาอยู่ราศีมีน จึงคาดการณ์ได้เลยว่า การทำนายของเขาต้องเน้นไปทางสายพลังจิต ใช้จินตนาการ สร้างอารมณ์ร่วมกับผู้คน ตัวเขาเองก็จบปริญญาด้านจิตวิทยาและเภสัช ซึ่งก็คือราศีมีนแบบตรง ๆ และเมื่อไปเปิดดูสารคดีเกี่ยวกับเขา ก็เห็นเลยว่า รายการของเขาดูอลังการ เครื่องแต่งกาย เวที ของประดับในรายการ ต่างหรูหรา งดงาม ออกแนว Extravaganza นั่นเป็นเพราะว่าดวงจันทร์อยู่ราศีเมษ ตรีโกณกับดาวพฤหัสในราศีสิงห์ แสดงถึงความโดดเด่นและเสน่ห์ต่อสาธารณชน พุธอยู่ 0 องศาราศีเมษ เขาจึงมีบทบาทสื่อสารกับสาธารณะ จัดรายการโด่งดังอยู่หลายทศวรรษ เขาเป็นผู้ชาย แต่ภาพลักษณ์ที่คนเห็นทำให้เข้าใจว่าเขาเป็นผู้หญิง แต่ในบางครั้ง ก็ดูเป็นผู้ชาย ความเป็นเพศแบบกำกวมนี้กลายเป็นเสน่ห์ของเขา สไตล์ชาวราศีมีน

May be a black-and-white image of 1 person

คำที่เขามักพูด และกลายมาเป็นชื่อหนังสารคดีของเขาคือ Mucho Mucho Amor แปลว่า รักมาก แต่เมื่อเราดูที่ดวงชะตาของเขา เราเห็น ดาวศุกร์ ดาวแห่งความรักอยู่ที่ 0 องศาราศีพฤษภ ตั้งฉากกับ ดาวเสาร์ที่ราศีกุมภ์ ก็พอจะทราบว่า ชีวิตรักของเขาคงมีอุปสรรคและความทุกข์อยู่มาก

May be an image of 1 person and text that says 'Love is the essence of everything.'

กลับมาที่ ชุดประจำชาติของ เอสเตฟานี มิสยูนิเวิร์ส เปอร์โตริโก จะเห็นเลยว่า ดีไซน์เนอร์ได้นำเอกลักษณ์การแต่งกายของวอลเตอร์มาใส่ในชุด ทั้งสีทองอร่าม ความวิบวับของชุด ตรงจักรราศีนั้น เขาทำเป็น 9 ช่อง ไม่ใช่ 12 ช่องตามจักรราศีที่ถูกต้อง โดยเอาราศีเมษกับราศีพฤษภ และราศีธนูกับราศีมกร รวมในช่องเดียว ส่วนราศีสิงห์และราศีกันย์ ก็รวมในช่องเดียวเช่นกัน แต่สัญลักษณ์ราศีกันย์ คร่อมเส้นแบ่งราศีล้ำไปทางราศีตุลด้วย ที่ทำอย่างนั้นอาจเป็นเพราะข้อจำกัดในการออกแบบตัดเย็บที่หากทำครบ 12 ช่อง อาจเดินถือชุดไม่ไหว แต่ในฐานะนักโหราศาสตร์ ก็ไม่ชอบใจนัก อยากให้ทำให้ถูกต้องแบ่งเป็น 12 ราศีเลยจะดีกว่า อีกทั้งการเรียงลำดับราศีนั้นก็หมุนกลับด้านอยู่ด้วย ที่ถูกต้อง เวลาเรียงทวนเข็มนาฬิกา ราศีจะเรียงตามนี้ เมษ พฤษภ มิถุน กรกฎ สิงห์ กันย์ ตุล พิจิก ธนู มกร กุมภ์ มีน

ด้วยความโด่งดังระดับเป็นปรากฏการณ์ของภูมิภาคละตินอเมริกา จึงไม่แปลกว่า วอลเตอร์ เมอร์คาโด หรือชื่อที่เธอตั้งให้ตัวเองใหม่เมื่อปี 2020 ว่า “ชานติ อนันดา” (Shanti Ananda ถ้าเขียนให้เป็นรูปอักษรไทยก็คือ สันติ อานันท์ แปล่วา ความสงบ ความสุข) จึงกลายเป็นแรงบันดาลใจของชุดประจำชาติเปอร์โตริโก ในการประกวด Miss Universe ปีนี้

***********************
เขียนโดย พัลลาส
14 พฤษภาคม 2021
***********************

441 ShareLikeCommentShare

ทีโค บราห์ โหรผู้มั่งคั่งที่สุดในโลก

เขียนโดย พงษ์พันธ์ วงศ์หนองเตย
กรรมการ มูลนิธิสมาคมโหรแห่งประเทศไทย ในพระสังฆราชูปถัมภ์
ตีพิมพ์ครั้งแรกใน สารมูลนิธิสมาคมโหรฯ ฉบับฉลองพระชันษา ๑๐๐ ปี

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
ตุลาคม ๒๕๕๖

ในเดือนเมษายน ค.ศ. ๑๕๗๗ กษัตริย์เฟรดเดอริคที่ ๒ แห่งเดนมาร์ก ได้เรียกตัวทีโค บราห์ จากหอดูดาวยูเรนิบอร์ก บนเกาะฮเวน (Hven Island) ปัจจุบันคือเกาะเวน Ven) ให้มาเข้าเฝ้าที่ปราสาทเฟรเดอริคบอร์ก เพื่อเข้าร่วมพิธีประสูติของพระโอรส ซึ่งมีพระนามว่า คริสเตียน (ต่อมาคือ พระเจ้าคริสเตียนที่ ๔ แห่งเดนมาร์ก) ทรงประสูติเมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ค.ศ.๑๕๗๗ เวลา ๑๖:๓๐ น. 

กษัตริย์เฟรดเดอริคที่ ๒ มอบหมายภารกิจสำคัญยิ่งให้กับบราห์ นั่นคือ การคำนวณดวงพระชาตาของพระโอรสพร้อมคำพยากรณ์โดยละเอียด โดยทรงกำชับว่า บราห์ต้องทำให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ อย่างไรก็ตาม กว่าบราห์จะทำงานเสร็จก็ล่วงเข้าไปในเดือนกรกฎาคม แม้ว่าความยุ่งยากในการทำส่วนหนึ่งจะอยู่ที่การต้องปักดวงพระชาตาด้วยดิ้นทองลงบนกำมะหยี่เขียวและเขียนคำพยากรณ์เป็นภาษาละติน แต่ความยุ่งยากสำคัญสำหรับโหรยุคนั้นก็คือการขาดปฏิทินโหรที่ละเอียดแม่นยำ อย่างทุกวันนี้ ซึ่งนั่นก็ต้องรอหลังจาก โจฮันส์ เคปเลอร์ ศิษย์เอกของบราห์ ที่นำเอาข้อมูลการสังเกตตำแหน่งดวงดาวไปคิดค้นทฤษฏีการโคจรของดาวเคราะห์สำเร็จก่อน หลังจากนั้นอีกหลายสิบปี

คำพยากรณ์ของบราห์ในครั้งนั้นส่งผลแม่นยำอย่างมหัศจรรย์ เขาเริ่มจากการพยากรณ์พื้นดวงว่า “เมื่อศุกร์เป็นดาวเจ้าเรือนที่ ๑ เจ้าชาตาจะเป็นผู้มีอากัปกิริยางดงาม มีชีวิตชีวา เป็นที่ชื่นชอบ และช่างฝัน อีกทั้งเต็มไปด้วยความรู้สึกและความหลงใหล พระองค์ทรงเข้าใจและมีสัมผัสทางศิลปะและดนตรี” (พระเจ้าคริสเตียนที่ ๔ ทรงเป็นกษัตริย์ที่เป็นที่รักของประชาชนมากที่สุดพระองค์หนึ่งของเดนมาร์ก ทรงอุปถัมภ์ศิลปะและดนตรีจนได้ชื่อว่าเป็นราชสำนักแห่งดนตรี เป็นรองเพียงพระราชินีอลิซาเบ็ธที่ ๑ แห่งอังกฤษเท่านั้น ) จากนั้น บราห์เริ่มขยายความจากการกุมกันของดาวศุกร์และดาวอังคารซึ่งเป็นดาวเจ้าเรือนที่ ๗ ซึ่งเป็นเรือนว่าด้วยสงครามสำหรับดวงพระชาตาของกษัตริย์ว่า “ทรงสนใจในเรื่องศาสตราวุธและการสงคราม” (พระองค์ทรงโปรดเรื่องการทหาร ทรงก่อสร้างป้อมปราการใหม่ ทรงขยายกองทัพเรือจากเรือ ๒๒ ลำเป็น ๖๐ ลำ และทรงนำเดนมาร์กเข้าสู่สมรภูมิหลายครั้งตลอดรัชกาล) และเมื่อสังเกตจากการเล็งกันของจันทร์และดาวพฤหัส บราห์จึงอธิบายว่า “พระองค์ทรงสนใจในเรื่องความรักยิ่งไปกว่าการแต่งงาน และทรงมีความสัมพันธ์กับสตรีหลายคนด้วย” (พระเจ้าคริสเตียนที่ ๔ ทรงอภิเษกสมรสสองครั้งและทรงมีสัมพันธ์กับสตรีหลายราย)

รูปที่ ๑ ดวงพระชาตาพระเจ้าคริสเตียนที่ ๔

บราห์พยากรณ์ว่า “เมื่อพระโอรสทรงมีพระชนมายุได้ราว ๒-๓ พรรษา จะเป็นช่วงเวลาอันเป็นมงคลที่สุดในชีวิต” ผลก็คือ ในเดือนเมษายน ค.ศ.๑๕๘๐ เมื่อพระชนมายุครบ ๓ พรรษา ทรงได้รับโปรดเกล้าฯเป็นมกุฎราชกุมารแห่งเดนมาร์ก ตรงนี้ บราห์ไม่ได้ระบุไว้ว่า ใช้วิธีการอะไรในการพยากรณ์ แต่เราทราบว่าในยุคนั้น ปฏิทินโหรยังไม่แม่นยำเพียงพอ ทำให้โหรไม่นิยมใช้การพยากรณ์จรโดยใช้ดาวจรปัจจุบัน (Transit) แต่นิยมใช้การพยากรณ์จรตามอายุขัยปฐมบท (Primary Direction) ซึ่งมาจากเกณฑ์ที่ว่า ๑ องศาเท่ากับ ๑ ปี เพราะมีความสะดวกรวดเร็วในการพยากรณ์อนาคตมากกว่า จากเกณฑ์นี้ เราสังเกตพบว่า อีก ๒ องศากว่า จันทร์ก็จะโคจรไปเล็งดาวพฤหัส จึงอนุมานได้ว่าเป็นโครงสร้างที่บราห์ใช้ในการพยากรณ์ช่วงเวลามงคลดังกล่าว

บราห์ยังพยากรณ์ต่อไปว่า “ในช่วงอายุ ๑๗-๒๐ พรรษา จะเป็นช่วงสำคัญที่สุดในชีวิตของพระโอรสคริสเตียน” ผลก็คือ ทรงได้ทำพิธีบรมราชาภิเษกขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์เดนมาร์กอย่างสมบูรณ์เมื่อ ๒๙ สิงหาคม ค.ศ.๑๕๙๖ เมื่อทรงมีพระชนมายุ ๑๙ พรรษา ๔ เดือน ซึ่งก็มาจากโครงสร้างดาวเสาร์กับดวงอาทิตย์ ที่ระยะเชิงมุมจากเสาร์ถึงอาทิตย์ในมุมฉากอยู่ที่ราวๆ ๒๐ องศา นั่นเอง

คำปิดท้ายการพยากรณ์ของบราห์คือ “ไม่มีปัจจัยใดบ่งชี้ถึงการสวรรคตด้วยความรุนแรง การสวรรคตจะอยู่ในลักษณะการบรรทมหลับไปตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นผลจากการใช้ชีวิตทั้งดื่มและเสวยมากเกินไป” ผลก็คือ เพียง ๒ เดือนก่อนพระชนมพรรษา ๗๑ พรรษา พระเจ้าคริสเตียนที่ ๔ ทรงป่วยจากปัญหาช่องท้องและการเสวยไม่ได้ และสวรรคตด้วยอาการตามที่แพทย์บันทึกไว้ว่า “พระองค์ทรงสวรรคตอย่างสงบ ปราศจากความเจ็บปวดหรือการดิ้นรนจากความตาย ราวกับว่าบรรทมหลับไป” นักโหราศาสตร์รุ่นหลังอนุมานว่า คำพยากรณ์ของบราห์มาจากโครงสร้างจันทร์เล็งพฤหัส ซึ่งบ่งบอกชีวิตที่มีมากจนล้น ดาวพฤหัสในราศีกันย์หมายถึงอาหาร จันทร์ซึ่งเป็นดาวประจำราศีกรกฎ หมายถึง ท้อง รวมถึงดาวเจ้าเรือนที่ ๑๒ ซึ่งดาวพฤหัสลอยอยู่นั้นคือดาวพุธ ทำมุมโยค (๖๐ องศา) กับดาวอังคารและดาวศุกร์ที่กุมกันอยู่

รูปที่ ๒ ทีโค บราห์

ทีโค บราห์ (Tycho Brahe *ชื่อของ Tycho Brahe ออกเสียงได้หลายแบบ หากออกเสียงเป็นภาษาเดนมาร์ก จะออกเสียงว่า “ทีโค บราห์” ถ้าออกเสียงแบบละตินจะออกเสียงว่า “ทีโค บราเฮ” ถ้าออกเสียงแบบเยอรมันจะออกเสียงว่า “ทูโช บราห์” ถ้าออกเสียงแบบอังกฤษจะออกเสียงว่า “ไทโค บราห์” สำหรับบทความนี้ ขอทับศัพท์ด้วยเสียงแบบเดนมาร์ก) โหรชาวเดนมาร์กผู้ยิ่งใหญ่ในยุคเรอเนสซองซ์ (Renaissance) เกิดเมื่อ ๑๔ ธันวาคม ค.ศ. ๑๕๔๖ เวลา ๑๐:๔๗ น. ในปราสาทคนุสทอร์ป เมืองสแกนเนีย ประเทศเดนมาร์ก (ปัจจุบันอยู่ในประเทศสวีเดน) เขาเกิดมาในตระกูลขุนนางชั้นสูงของเดนมาร์กทั้งสายพ่อและแม่ พ่อของเขา ออตเตอ บราห์ (Otte Brahe) เป็นขุนนางคนสำคัญของราชสำนัก แม่ของเขา บีอาเต บิลเล (Beate Bille) มาจากครอบครัวชั้นนำที่มีสมาชิกอยู่ในตำแหน่งสำคัญทางการเมืองและศาสนา เขาเป็นลูกคนที่สองและเป็นลูกชายคนโตในบรรดาพี่น้องทั้งหมด ๑๐ คน 

เมื่ออายุได้สองขวบ ลุงของเขา เจอเกน บราห์ (Jorgen Brahe) ซึ่งเป็นขุนนางในราชสำนักเช่นกัน แต่ไม่มีบุตร ได้พาเขาไปเลี้ยงดูเป็นบุตรบุญธรรม เขาจึงเติบโตขึ้นมาด้วยการเลี้ยงดูอย่างดีตามที่ชนชั้นนำในยุคนั้นได้รับ เขาเริ่มเรียนภาษาละตินตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ และมีคุณครูมาสอนแบบส่วนตัวอยู่ห้าปี จนกระทั่ง เมื่ออายุ ๑๓ ปี เขาได้เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน โดยศึกษาวิชาวาทศิลป์และปรัชญา เตรียมตัวเข้าศึกษาวิชากฎหมาย เพื่อเตรียมความพร้อมในการมารับราชการเป็นขุนนางต่อไป อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงในวันที่ ๒๑ สิงหาคม ค.ศ.๑๕๖๐ ซึ่งก่อให้เกิดกระแสความสนใจต่อสาธารณะ ทีโคจึงเริ่มสนใจวิชาดาราศาสตร์และโหราศาสตร์ และเมื่อเกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคาจริงๆตามที่พยากรณ์ไว้ ทีโคจึงเกิดความประทับใจและตัดสินใจที่จะทุ่มเทชีวิตศึกษาดารา-โหราศาสตร์ เพื่อสามารถพยากรณ์เหตุการณ์ในอนาคตได้ 

เมื่อเขาเรียนจบจากมหาวิทยาลัย เขาก็ถูกส่งไปศึกษานิติศาสตร์ที่เมืองไลป์ซิก (Leipsic) ในเยอรมัน อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาว่างจากการเรียน เขาก็ทุ่มเทศึกษาตำราดารา-โหราศาสตร์ที่เขาชอบ และสังเกตจากฟ้าจริงทุกค่ำคืน จนพบว่า ปฏิทินโหรในยุคนั้นมีความคลาดเคลื่อนจากฟ้าจริงอย่างมาก เขาจึงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาปฏิทินโหรที่มีความแม่นยำสูงขึ้นมาให้ได้ จึงได้ไปศึกษาวิชาเลขคณิตและเรขาคณิตเพิ่มเติม ต่อมา ในเดือนสิงหาคม ๑๕๖๓ เกิดปรากฏการณ์พฤหัสกุมเสาร์ ทีโคได้พัฒนาอุปกรณ์วัดมุมระหว่างดาวและใช้สังเกตปรากฏการณ์จริง เขาพบว่า วันเวลาที่เกิดปรากฏการณ์จริงได้แตกต่างจากวันเวลาที่ได้จากการคำนวณมาก และจากปรากฏการณ์นี้ เขาสามารถพยากรณ์เหตุการณ์โรคระบาดที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ปีต่อมาได้ เพราะว่าปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นที่ต้นราศีสิงห์ และไม่ไกลจากกลุ่มดาวกรกฎ ทั้งสองราศีนี้ ทอเลมี (Ptolemy) ให้ความหมายว่า “ทำให้หายใจไม่ออกและเกิดโรคระบาด!”

หลังจากใช้เวลาสามปีในไลป์ซิก บราห์ได้เดินทางไปทั่วเยอรมัน แต่เมื่อคุณลุงเขาเสียชีวิตลง เขาก็ถูกเรียกตัวกลับไปเดนมาร์กเพื่อรับมรดก เมื่อกลับมาอยู่ที่เดนมาร์ก ความทุ่มเทในวิชาดารา-โหราศาสตร์ของเขานั้นไม่เป็นที่ยอมรับสำหรับคนรอบข้าง เพราะเขาถูกคาดหวังให้เข้ารับราชการให้สมกับชนชั้นขุนนางของเขา เมื่ออยู่ในภาวะที่อึดอัดเช่นนั้น บราห์จึงออกเดินทางไปเยอรมันอีกครั้ง โดยไปอาศัยในเมืองวิทเทมเบิร์ก (Wittemberg) ราวหกเดือน แต่เกิดโรคระบาดในเมือง เขาจึงเดินทางต่อไปเมืองโรสต็อค (Rostock) ในฤดูใบไม้ร่วงปีนั้น และที่นั่นก็เกิดเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงเขาไปตลอดชีวิต ในวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๑๕๖๖ เขาได้รับเชิญไปงานแต่งงาน และเกิดมีเรื่องถกเถียงกับขุนนางท้องถิ่น ชื่อ แมนเดรุพ แพสเบอร์ก (Manderup Parsberg) เกี่ยวกับสูตรคณิตศาสตร์ พอถึงวันที่ ๒๗ ธันวาคม ทั้งคู่ก็เถียงกันอีกครั้ง และตัดสินใจแก้ปัญหาด้วยการดวลดาบในวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๑๕๖๖ เวลา ๑๙:๐๐ น. การต่อสู้ดำเนินไปจนฟ้ามืดมิด ท่ามกลางความมืดนั้นเอง บราห์ถูกฟันเข้าที่จมูกจนดั้งแหว่งหายไป นั่นคือจุดสิ้นสุดของการดวลดาบ บราห์ต้องรักษาจมูกของเขาด้วยการใช้จมูกเทียมทำจากทองคำและเงินแทน (เวลานั้น อังคารจรมากุมอาทิตย์กำเนิด เสาร์จรตั้งฉากกับเมอริเดียนกำเนิด อาทิตย์จร = จันทร์จร = พฤหัส/เสาร์ = เมอริเดียน/พลูโต = ลัคนา/มฤตยู บ่งบอกถึงเกิดเรื่องเดือดร้อนต่อร่างกาย รวมถึงวันเวลาที่ดวลดาบบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันที่เกิดขึ้นส่งผลถึงระดับจิตวิญญาณ) 

หลังจากเหตุการณ์นั้น บราห์ยังคงอยู่ในเมืองโรสต็อค ต่อไปอีกสองปี จากนั้นเดินทางต่อไปยังเมืองอ็อกซบวร์ก (Augsburg) ที่นี่บราห์ได้พบเพื่อนที่สนใจในการพัฒนาอุปกรณ์ทางดาราศาสตร์ชื่อ พอล เฮนเซล (Paul Hainzel) และได้สร้างควอตแดรนท์ (Quadrant) ซึ่งเป็นอุปกรณ์วัดมุมทางดาราศาสตร์ ที่มีรัศมี ๑๔ คิวบิท หรือประมาณ ๗ เมตร ใหญ่จนกระทั่งใช้คนยี่สิบคนในการขนย้าย สามารถวัดมุมเงย (Altitude) ได้ละเอียดในระดับ ลิบดา เลยทีเดียว รวมถึงได้สร้างเซ็กแทนท์ (Sextant) ขนาดใหญ่ เพื่อวัดระยะเชิงมุมระหว่างดวงดาว อีกด้วย

รูปที่ ๓ ควอดแดรนท์

จากเมืองอ็อกซบวร์ก บราห์ได้เดินทางไปอีกหลายเมือง และเดินทางกลับเดนมาร์กเมื่อสิ้นปี ๑๕๗๑ ถึงเวลานี้ ชื่อเสียงในฐานะนักดาราศาสตร์ของเขา ทำให้ผู้คนต้อนรับเขาอย่างอบอุ่น แตกต่างไปจากเมื่อคราวเขาเดินทางไป แม้กระทั่งกษัตริย์ก็ทรงเชิญเขาไปหารือในวัง ท่ามกลางบรรยากาศที่เป็นใจ บราห์และลุงของเขา สเตโน บิลเล ได้ร่วมกันสร้างหอดูดาวขึ้น และเขายังคงพัฒนาอุปกรณ์ดาราศาสตร์ที่คล้ายกับที่สร้างที่เมืองอ็อกซบวร์ก ต่อไป แต่ขยายขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อวัดมุมได้ละเอียดยิ่งขึ้น

รูปที่ ๔ บันทึกซูปเปอร์โนวา ๑๕๗๒ ของบราห์

ในวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๑๕๗๒ ขณะที่เขากลับจากรับประทานอาหารค่ำ เขามองขึ้นไปบนฟ้า พบแสงที่ผิดปกติตรงบริเวณกลุ่มดาวแคสสิโอเปีย ตรงเหนือศีรษะของเขา เขามั่นใจว่าเขาไม่เคยเห็นมาก่อน เขาตามคนรับใช้มาช่วยดูเพื่อยืนยันว่าไม่เคยมีใครเห็นดาวที่ส่องสว่างดวงนี้มาก่อนจริงๆ เขารีบกลับไปที่หอดูดาว วัดระยะห่างเชิงมุมจากดาวในกลุ่มดาวแคสสิโอเปียที่ใกล้ที่สุดไปยังดาวดวงนี้ เขาบันทึกทั้งรูปร่าง ลักษณะ ขนาด ระดับความสว่าง และสี เอาไว้ ดาวดวงนี้ปรากฏบนท้องฟ้ายาวนานถึง ๑๖ เดือนจนหายไปในเดือนมีนาคม ๑๕๗๔ ระหว่างที่ปรากฏ แสงนี้เหมือนกับดาว ไม่มีหางเหมือนดาวหาง มีแสงสว่างชัดเจน ใหญ่กว่าดาวซิริอุส หรือดาวฤกษ์ดวงอื่น ดูใหญ่กว่าดาวพฤหัส ใกล้เคียงกับดาวศุกร์ในช่วงที่สว่างที่สุด บราห์ได้ตีพิมพ์ผลงานการสังเกตดาวดังกล่าวในปี ๑๕๗๓ ในชื่อหนังสือว่า “De nova et nullius aevi memoria prius visa stella” หรือ “ว่าด้วยดาวดวงใหม่ที่ไม่เคยมีใครเห็นในชีวิตหรือความทรงจำมาก่อน” โดยเรียกดาวนี้ว่า ดาวดวงใหม่ (De Nova Stella) ชื่อเสียงของเขาจากงานดังกล่าวได้ขจรขจายไปทั่วยุโรป ได้รับเชิญไปบรรยายทั้งในเยอรมันและอิตาลี ปัจจุบันเราทราบว่าดาวดวงใหม่ของทีโค คือซุปเปอร์โนวา (Supernova) หรือการเกิดระเบิดอย่างรุนแรงของดาวฤกษ์ ที่ห่างจากโลกราว ๗,๕๐๐ ล้านปีแสง นักดาราศาสตร์เรียกซุปเปอร์โนวานี้ว่า ซุปเปอร์โนวาของทีโค (Tycho’s Supernova) เพราะผลงานการสังเกตอย่างละเอียดในหนังสือดังกล่าวนั่นเอง

ในช่วงนั้น ชีวิตครอบครัวของบราห์ก็สมบูรณ์ยิ่งขึ้นเมื่อบุตรสาวคนแรกของเขาถือกำเนิดขึ้นมาในปี ๑๕๗๓ จากภรรยาที่ชื่อว่า จอร์เกน แฮนเซ่น บราห์ไม่ได้จัดงานแต่งงานกับภรรยาอย่างเป็นทางการ เพราะเธอเป็นสามัญชน ซึ่งต่างชนชั้นกับเขา ตามประเพณีในยุคนั้น ภรรยาที่มาจากสามัญชนแม้ว่าจะแต่งงานกับขุนนาง ก็ยังคงเป็นสามัญชนต่อไป อย่างไรก็ตาม ทั้งคู่ก็มีบุตรธิดาด้วยกัน ๘ คน

แม้ว่าจะมีบุตร บราห์ก็ยังเดินสายบรรยายในยุโรปในฐานะนักดาราศาสตร์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังแห่งยุค จนกระทั่ง กษัตริย์เฟรดเดอริกที่ ๒ ทรงเรียกตัวเขากลับมา เพื่อยกเกาะฮเวน (Hven) ให้เขาทั้งเกาะ พร้อมกับสนับสนุนทางการเงินให้เขาสร้างหอดูดาวพร้อมอุปกรณ์ที่ทันสมัยที่สุดในยุคนั้นบนเกาะดังกล่าว เพื่อให้ค้นคว้าวิจัยดาราศาสตร์ที่นั่น ด้วยความรักชาติอีกทั้งข้อเสนอดังกล่าวก็เย้ายวนเกินกว่าใครจะปฏิเสธได้ บราห์และครอบครัวจึงย้ายไปอาศัยอยู่ในเกาะฮเวน และเริ่มต้นโครงการหอดูดาวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดโครงการหนึ่งในประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์โลก

เกาะฮเวนเป็นเกาะที่อยู่ระหว่างเดนมาร์กและสวีเดน ขนาด ๔.๕ x ๒.๔ กิโลเมตร บนเกาะมีทุ่งนา ที่อุดมสมบูรณ์ ให้ธัญพืชที่ดีที่สุด และมีปศุสัตว์ทั้งม้า วัว และแกะ รวมถึงกวาง กระต่าย และนกจำนวนมาก ณ ขณะนั้นมีหมู่บ้านอยู่บนเกาะเพียงหมู่บ้านเดียวซึ่งมีประชากรราวสี่สิบคน หลังจากสำรวจเกาะแล้ว บราห์ได้สร้างหอดูดาวชื่อ ยูเรนิบอร์ก (Uraniborg) ซึ่งแปลว่า ปราสาทยูเรเนีย ตั้งชื่อตามเทพยูเรเนีย เทพธิดาแห่งดาราศาสตร์ตามตำนานเทพปกรณัมของกรีก บราห์ได้กำหนดวันวางศิลาฤกษ์ (Cornerstone) ไว้ในวันที่ ๘ สิงหาคม ๑๕๗๖ โดยกำหนดเวลาฤกษ์ไว้เมื่อ “เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้า ร่วมกับดาวพฤหัสที่อยู่ใกล้ดาวเรกูลัส ขณะที่ดวงจันทร์ลอยอยู่ในราศีกุมภ์”

รูปที่ ๕ หอดูดาวยูเรนิบอร์ก

หอดูดาวยูเรนิบอร์ก ล้อมรอบด้วยกำแพงสูง ๕.๕ เมตร ยาว ๗๕ เมตร มุมทั้งสี่วางอยู่ในแนวเหนือ-ใต้ และ ตะวันออก-ตะวันตก อย่างเที่ยงตรง อาคารตรงกลางสร้างจากอิฐสีแดง ชั้นล่าง มีห้องสมุดทางหอทิศใต้ ห้องครัวทางหอทิศเหนือ และตรงกลางมีห้องขนาดเท่ากัน ๔ ห้อง โดยห้องหนึ่งเป็นของบราห์และครอบครัว ส่วนอีกสามห้องสำหรับนักดาราศาสตร์ที่มาเยือน ชั้นสองประกอบด้วยห้องขนาดใหญ่หนึ่งห้องและห้องขนาดเล็กสองห้อง ห้องขนาดใหญ่สำหรับแขกที่เป็นราชวงศ์ ชั้นที่สาม เป็นห้องเก็บเสบียง เกลือ และเชื้อเพลิง ที่เหลือเป็นห้องทดลองของ บราห์ ชั้นบนใต้หลังคามีห้องเล็กแปดห้อง สำหรับนักเรียน นอกจากอาคารตรงกลางแล้ว บราห์ยังติดตั้งอุปกรณ์ดาราศาสตร์ไว้ที่หอทางทิศเหนือและทิศใต้อีกด้วย อุปกรณ์ที่ถือว่าเป็นสุดยอดในหอดูดาวแห่งนี้ก็คือ ลูกโลกทองเหลือง ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางห้าฟุต ที่ได้จารึกดวงดาวนับพันตามแผนที่ดาวที่บราห์ได้จัดทำขึ้น 

อย่างไรก็ตาม เมื่อสร้างเสร็จและใช้งานจริง บราห์พบว่าอาคารดังกล่าวยังไม่เพียงพอต่อการติดตั้งอุปกรณ์ดาราศาสตร์ของเขาให้สมบูรณ์ ที่สำคัญ อุปกรณ์ที่ติดตั้งบนหอดูดาวยังไม่แข็งแรงเพียงพอต่อแรงลม ซึ่งทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนในการวัดมุมดาว เขาจึงก่อสร้างหอดูดาวขึ้นอีกแห่งหนึ่งถัดไปทางใต้จากหอดูดาวยูเรนิบอร์ก โดยก่อสร้างลงไปใต้ดินเพื่อติดตั้งอุปกรณ์ดาราศาสตร์ขนาดใหญ่ของเขาซึ่งสามารถปกป้องจากลมและสภาพอากาศได้ หอหลังใหม่นี้มีชื่อว่า สเติร์นบอร์ก (Stjerneborg) แปลว่า ปราสาทแห่งดวงดาว 

ในยุคของบราห์นั้น ยังไม่มีการประดิษฐ์กล้องดูดาว (Telescope) ที่ใช้กำลังขยายของเลนส์มาช่วยขยายภาพดาวให้ชัดเจนขึ้นมาใช้งาน อุปกรณ์ดูดาวของเขาจึงประกอบด้วย ควอดแดรนท์ (Quadrant) และเซ็กแทนท์ (Sextant) ขนาดใหญ่ ที่สามารถวัดมุมดาวด้วยตาเปล่าได้ละเอียดในระดับ ๑๐ พิลิบดาเลยทีเดียว ซึ่งถือว่าละเอียดที่สุดที่สายตามนุษย์จะสังเกตได้แล้ว การจะข้ามผ่านจุดนี้ มนุษย์ต้องประดิษฐ์เลนส์ขยายมาช่วยในรูปแบบของกล้องดูดาวซึ่งต้องรออีกจนกระทั่ง ค.ศ.๑๖๐๘ หรืออีกราว ๓๐ ปีต่อมา

โครงการสร้างหอดูดาวนี้ได้ใช้เงินทุนจำนวนมาก ว่ากันว่าใช้เงินไปราว ๑% ของงบประมาณของรัฐบาลเดนมาร์กในขณะนั้น บ้างก็ว่าใช้ทองคำไปราวๆหนึ่งตัน  หากเราคิดเป็นมูลค่าทองคำในปัจจุบัน (ราคาทองคำปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ ๑,๓๓๐ ดอลลาร์สหรัฐฯต่อทรอยซ์ออนซ์, ทองคำ ๑ เมตริกตัน เท่ากับ ๓๒,๑๕๐ ทรอยซ์ออนซ์ และอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯอยู่ที่ ๓๐.๙๕ บาท/ดอลลาร์ฯ) จะได้มูลค่าการก่อสร้างอยู่ที่ ๑,๓๒๓ ล้านบาทเลยทีเดียว นอกจากนั้น กษัตริย์เฟรดเดอ ริกยังทรงพระราชาทานเบี้ยหวัดให้ทีโคอีกปีละ ๒,๐๐๐ ริกซ์ดอลลาร์ และยังแต่งตั้งตำแหน่งเพิ่มเติมให้เขาซึ่งมีรายได้อีก ๑,๐๐๐ ริกซ์ดอลลาร์ต่อปี ลองคิดดูว่าเป็นค่าเงินเมื่อ ๔๐๐ กว่าปีก่อน หากคำนวณมาเป็นเงินปัจจุบันจะสูงขนาดไหน กล่าวได้ว่า ไม่เคยมีโหรคนใด หรือแม้แต่นักวิทยาศาสตร์คนใดในประวัติศาสตร์ที่ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากรัฐบาลสูงขนาดนี้ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อบทความนี้ที่ตั้งไว้ว่า โหรผู้มั่งคั่งที่สุดในโลก นั่นเอง

รูปที่ ๖ หอดูดาวสเติร์นเบอร์ก

ณ หอดูดาวบนเกาะแห่งนี้ ทีโค บราห์ ก็ได้ทุ่มเทชีวิตจิตใจของเขาในการสังเกตและบันทึกปรากฏการณ์บนท้องฟ้าทุกค่ำคืนอย่างละเอียด เป็นเวลากว่า ๒๐ ปี จนเป็นบันทึกที่ละเอียดและล้ำค่าอย่างยิ่ง ในเดือนพฤศจิกายน ๑๕๗๗ ได้มีดาวหางปรากฏบนท้องฟ้า บราห์ได้สังเกตจากหอดูดาวแห่งนี้ นอกจากบันทึกสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์แล้ว บราห์ได้พยากรณ์จากปรากฏการณ์ดาวหางครั้งนี้ว่า “จะเกิดเจ้าชายจากภาคเหนือ ผู้ซึ่งจะเอาชนะเยอรมันได้ และจะสูญสิ้นในปี ๑๖๓๒” ผลก็คือ เจ้าชายกุสตาวุส อดอล์ฟัส ได้ประสูติในสวีเดนเมื่อปี ๑๕๙๔ ต่อมาขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์สวีเดน ได้นำทัพเอาชนะเยอรมันในสงครามสามสิบปี และสวรรคตในสนามรบในปี ๑๖๓๒ ตามคำพยากรณ์ของทีโค บราห์ทุกประการ

รูปที่ ๗ เซ็กแทนท์

บราห์ได้ใช้ชีวิตของเขาบนเกาะแห่งนี้อย่างหรูหรา หอดูดาวยูเรนิบอร์กถูกสร้างขึ้นเหมือนกับปราสาทของเขา ได้รับการตกแต่งด้วยงานศิลปกรรมชั้นนำในยุคนั้น เขาจัดงานเลี้ยงรื่นเริงต้อนรับคนมีชื่อเสียงจากทั่วยุโรปที่เดินทางมาหาเขาอย่างไม่ขาดสาย ทั้งนักปราชญ์ นักวิชาการ ขุนนาง และเชื้อพระวงศ์ต่างๆ กล่าวได้ว่า ในยุคนั้น หากต้องการแสดงตนว่าเป็นผู้รักในวิชาความรู้ ก็ต้องหาทางแวะมาพบปะสนทนากับทีโค บราห์ นักดาราศาสตร์อันดับหนึ่งในยุคนั้นพร้อมเยี่ยมชมหอดูดาวที่ทันสมัยที่สุดซึ่งราชสำนักเดนมาร์กสนับสนุนให้ได้

รูปที่ ๘ ลูกโลกทองเหลืองของบราห์

นอกจากเป็นโหรหลวง นักดาราศาสตร์ชื่อดัง และใช้ชีวิตอย่างหรูหราอยู่ในปราสาทยูเรนิบอร์กแล้ว ยังมีแง่มุมหลายอย่างในชีวิตของเขา ที่คนเล่าต่อๆกันมาจนกลายเป็นเรื่องประหลาดและลึกลับ อย่างเช่น การที่บราห์เลี้ยงดูทาสรับใช้ที่เป็นคนแคระคนหนึ่งชื่อ เยปส์ ผู้ซึ่งเป็นเสมือนตัวตลกหลวงในปราสาทของบราห์ เยปส์จะคอยหมอบอยู่ใต้โต๊ะแทบเท้าบราห์อยู่ตลอดเวลา คอยรับอาหารที่เขาโยนให้มารับประทาน ว่ากันว่า คนแคระผู้นี้มีความสามารถพิเศษในการมองเห็นอนาคต เวลาเขาพูดอะไรออกมา ก็จะมีคนฟังอย่างใส่ใจ นอกจากนี้ เขายังเลี้ยงกวางตัวใหญ่ไว้ตัวหนึ่งจนเชื่อง แขกที่มาหาเขามักจดจำสัตว์เลี้ยงประหลาดตัวนี้ได้ ภายหลังกวางตัวนี้ดื่มเบียร์มากเกินไปในงานเลี้ยงจนทำให้ตกบันไดลงมาตาย 

ในปี ๑๕๘๘ พระเจ้าเฟรดเดอริกที่ ๒ ผู้ทรงอุปถัมภ์ บราห์มาโดยตลอด ได้สวรรคตด้วยพระชนมพรรษา ๕๔ พรรษา และพระเจ้าคริสเตียนที่ ๔ ก็ได้ขึ้นครองราชสมบัติ กษัตริย์พระองค์ใหม่ด้วยพระชนมพรรษาเพียง ๑๑ พรรษา ในช่วงแรก ความสัมพันธ์ระหว่างบราห์กับกษัตริย์พระองค์ใหม่ยังไปด้วยดี โดยพระองค์ได้เสด็จมาเยี่ยมหอดูดาวยูเรนิบอร์กในปี ๑๕๙๑ ขณะนั้นทรงมีพระชนมพรรษา ๑๔ พรรษา บราห์ได้จัดงานเลี้ยงต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ และได้พาพระองค์เยี่ยมชมอุปกรณ์ดาราศาสตร์ พระเจ้า คริสเตียนที่ ๔ มีรับสั่งสอบถามบราห์ในเรื่องเครื่องจักรกลและคณิตศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการต่อเรือ ครั้งนั้น บราห์ได้จัดทำลูกโลกทองเหลือง ที่จำลองกลไกของฟ้า ทั้งการขึ้นและการตกของดวงอาทิตย์ รวมถึงดิถีจันทร์ ถวายพระองค์ด้วย

อย่างไรก็ตาม ความโดดเด่นของบราห์ รวมถึงการได้รับการสนับสนุนทางการเงินอย่างมหาศาลจากราชสำนักเดนมาร์ก ทำให้บราห์มีศัตรูอยู่ราชสำนักจำนวนมาก รวมถึงอัครมหาเสนาบดี (King’s Chancellor) ด้วย ส่งผลให้ราชสำนักเริ่มตัดงบประมาณสนับสนุนบราห์ลงมาเรื่อยๆ ทำให้เขาไม่สามารถแบกรับค่าใช้จ่ายที่เขาเคยใช้อย่างฟุ่มเฟือยในปราสาทของเขาได้ มีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาตรวจสอบข้อร้องเรียนเกี่ยวกับตัวบราห์ ทั้งการใช้แรงงานชาวบ้านบนเกาะเวนหนักเกินไป รวมไปถึงการประเมินว่าผลงานของเขาไม่มีความคุ้มค่าต่อเงินที่ราชสำนักจ่ายออกไป ด้วยแรงกดดันเหล่านี้ บราห์จำเป็นต้องหาทางออกให้กับเขาและครอบครัว

ในปี ๑๕๙๙ บราห์ก็ได้อพยพครอบครัว ทาส คนรับใช้ และอุปกรณ์ตำรับตำราที่เคลื่อนย้ายได้ออกจากประเทศเดนมาร์ก ไปยังกรุงปราก ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิรูดอล์ฟที่ ๒ ผู้ดำรงตำแหน่งจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์อยู่ในขณะนั้น จักรพรรดิรูดอล์ฟทรงสนพระทัยในเรื่องวิทยาศาสตร์ การเล่นแร่แปรธาตุ และโหราศาสตร์ จึงไม่ยากเลยที่บราห์จะทำให้พระองค์ทรงอุปถัมภ์ตัวเขาและครอบครัวเอาไว้ เพียงการเข้าเฝ้าครั้งแรก พระองค์ทรงแต่งตั้งให้บราห์เป็นโหรหลวงและนักคณิตศาสตร์ประจำราชสำนัก โดยกำหนดเบี้ยหวัดรายปีให้บราห์ถึง ๓,๐๐๐ โครน รวมถึงบ้านพักสำหรับครอบครัวและหอดูดาวสำหรับการทำงานซึ่งให้บราห์เลือกได้ว่าจะอยู่ในกรุงปรากหรือจะอยู่นอกเมือง 

ด้วยการสนับสนุนจากจักรพรรดิอย่างเต็มที่ บราห์จึงเริ่มรับสมัครผู้ช่วยเข้ามาทำงาน และเขาก็ได้รับ โจฮันส์ เคปเลอร์ (Johannes Kepler) ชาวเยอรมัน เข้ามาช่วยงาน บราห์ประทับใจในอัจฉริยภาพของผู้ช่วยคนนี้ และมอบหมายให้เคปเลอร์ทำหน้าที่วิเคราะห์การโคจรของดาวอังคาร และให้พยายามพิสูจน์จักรวาลในระบบที่บราห์คิดขึ้นเอง เรียกว่า Tycho’s Geo-Heliocentric System ซึ่งคิดค้นมาเพื่อแก้ข้อผิดพลาดของจักรวาลแบบทอเลมีที่มีโลกเป็นศูนย์กลาง และแตกต่างจากจักรวาลแบบโคเปอนิคัสที่ให้ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง ในระบบของบราห์นั้น ให้ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์โคจรรอบโลก ขณะที่ดาวเคราะห์ดวงอื่นโคจรรอบดวงอาทิตย์ อย่างไรก็ตาม เคปเลอร์ไม่ได้เชื่อในระบบของบราห์ แต่เขาเชื่อในระบบโคเปอนิคัสมากกว่า ทำให้เกิดความขัดแย้งอยู่เสมอ แต่เคปเลอร์จำเป็นต้องทำงานกับบราห์ต่อไป เพราะต้องการฐานข้อมูลการโคจรดาวเคราะห์กว่าสามสิบปีที่บราห์รวบรวมมาโดยตลอด ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ค่อนข้างซับซ้อน ส่วนหนึ่งมาจากความแตกต่างทางฐานะและชนชั้น บราห์เติบโตมาในชนชั้นขุนนางที่มีฐานะร่ำรวย ขณะที่เคปเลอร์เติบโตมาจากครอบครัวที่ฐานะไม่ดี บราห์มีบุคลิกของคนที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ถ้าเป็นภาษาสมัยนี้ก็คือเขาเป็นเซเลบ (Celebrity) ของสังคมชนชั้นสูงในยุโรป ขณะที่เคปเลอร์เป็นชายที่ดูขี้โรค ขาโก่ง สายตาสั้น และมีนิ้วพิการ ความแตกต่างนี้ส่งผลให้ครั้งหนึ่งเคปเลอร์เคยกล่าวว่า “ความเห็นของข้าพเจ้าต่อทีโคเป็นอย่างนี้ เขารวยขั้นสุดยอด แต่เขาไม่รู้ว่าจะใช้มันอย่างไรให้เหมาะสม ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของคนรวย ดังนั้น คงต้องมีใครสักคนมาฉกชิงความรวยมาจากเขา” อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างของทั้งสองคนกลับทำให้เมื่อมาร่วมงานกันได้ก่อให้เกิดผลงานสำคัญที่พลิกโฉมวงการดาราศาสตร์และโหราศาสตร์ครั้งสำคัญ โดยบราห์เป็นเจ้าของฐานข้อมูลตำแหน่งดาวเคราะห์อย่างละเอียดตลอด ๓๐ ปี แต่เขาไม่สามารถดึงเอาข้อมูลเหล่านั้นมาสร้างทฤษฎีได้ ขณะที่เคปเลอร์เป็นอัจฉริยะที่นำข้อมูลของบราห์ออกมาพัฒนาเป็น กฎการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ ๓ ข้อที่ทำให้มนุษย์รู้จักกลไกฟ้าจนสามารถจัดทำปฏิทินโหรได้อย่างแม่นยำได้

รูปที่ ๙ ผู้เขียนกับอนุสาวรีย์ของบราห์และเคปเลอร์ ที่กรุงปราก สาธารณรัฐเช็ก

ทั้งคู่ได้ร่วมงานในกรุงปรากอยู่เกือบ ๒ ปี จนกระทั่งค่ำวันหนึ่งในฤดูใบไม้ร่วงของปี ๑๖๐๑ ในงานเลี้ยงอาหารค่ำที่พระราชวัง ทีโค บราห์ได้อั้นปัสสาวะเป็นเวลานานโดยไม่ยอมเสียมารยาทลุกจากโต๊ะอาหาร จนทำให้กระเพาะปัสสาวะอักเสบรุนแรง เขาล้มป่วยหนักเป็นเวลาหลายวันกระทั่งเสียชีวิตลงเมื่อวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๑๖๐๑ เคปเลอร์ถือโอกาสตอนนั้นหยิบฉวยข้อมูลตำแหน่งดวงดาวทั้งหมดของบราห์ไป เคปเลอร์ได้เขียนในภายหลังว่า “ข้าพเจ้าสารภาพว่า เมื่อทีโคเสียชีวิต ข้าพเจ้าได้ถือโอกาสที่ไม่มีทายาทคนใดของบราห์สนใจ หยิบบันทึกการสังเกตการณ์มาไว้ในการครอบครอง หรือบางทีอาจเรียกได้ว่าแย่งชิงเอามา” ไม่กี่วันต่อมา จักรพรรดิรูดอล์ฟก็ได้แต่งตั้งเคปเลอร์ดำรงตำแหน่งนักคณิตศาสตร์ประจำราชสำนักแทนบราห์ ด้วยหน้าที่การงานที่มั่นคงและมีข้อมูลของบราห์อยู่ในมือ เคปเลอร์ก็ได้พัฒนากฎการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์สำเร็จ รวมถึงได้ตีพิมพ์ ตารางรูดอล์ฟ (Rudolphine Tables) ซึ่งเป็นตารางตำแหน่งดาวเคราะห์และดาวฤกษ์ โดยใช้ข้อมูลจากบันทึกของบราห์ รวมกับสูตรคำนวณที่เคปเลอร์พัฒนาเพิ่มเติม ชื่อตารางนี้ตั้งขึ้นมาเพื่อถวายเป็นเกียรติแด่จักรพรรดิรูดอล์ฟที่ ๒ ผู้อุปถัมภ์งานวิจัยของทั้งบราห์และเคปเลอร์

รูปที่ ๑๐ ตารางรูดอล์ฟ (Rudolphine Tables)

การเสียชีวิตของบราห์นั้น เป็นเรื่องลึกลับ ที่มีผู้ตั้งสมมติฐานสาเหตุการตายหลายอย่าง นอกจากที่เล่าไปแล้ว ยังมีสมมติฐานที่ว่าบราห์ถูกวางยาด้วยปรอท โดยอ้างว่าพบปริมาณสารปรอทสูงผิดปกติที่หนวดของเขา มีผู้แต่งแต้มเรื่องราวดังกล่าวด้วยการกล่าวหาว่าเคปเลอร์เป็นผู้วางยาพิษเพื่อหวังตำแหน่งโหรหลวงและบันทึกข้อมูลของ บราห์ อีกเรื่องหนึ่งก็บอกว่า พระญาติของพระเจ้าคริสเตียนแห่งเดนมาร์กได้มาวางยาพิษบราห์ เพราะมีข่าวลือว่าบราห์มีสัมพันธ์ลับๆกับพระชนนีของพระเจ้าคริสเตียน อย่างไรก็ตาม เมื่อปี ค.ศ. ๒๐๑๐ ได้มีทีมนักวิทยาศาสตร์ขุดศพของบราห์ขึ้นมาเพื่อทำการพิสูจน์ และตีพิมพ์ผลงานวิจัยในปี ๒๐๑๒ สรุปว่า ปริมาณปรอทในศพของ บราห์มีไม่มากพอที่จะเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของเขา และสรุปว่า บราห์น่าจะเสียชีวิตจากการอักเสบของกระเพาะปัสสาวะตามที่เชื่อมาแต่เดิมมากกว่า

ชีวิตของทีโค บราห์ ถือได้ว่าเป็นชีวิตที่มีสีสันโลดโผนเกินกว่าโหรหรือนักดาราศาสตร์คนใดจะเทียบได้ ความที่เขาทุ่มเทศึกษาดารา-โหราศาสตร์ตลอดชีวิตของเขา ทำให้เขามีความลึกซึ้งในปรัชญาเรื่องนี้มาก ครั้งหนึ่ง บราห์เคยไปบรรยายที่มหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน เมื่อปี ๑๕๗๔ ว่า “ดาวดวงใหม่ (ซุปเปอร์โนวา), ดาวหาง, อุปราคา, การกุมกันของดาว และปรากฏการณ์ต่างๆบนฟ้าย่อมส่งผลต่อเหตุการณ์บนพื้นดิน” และ “นักโหราศาสตร์ไม่ได้ผูกมัดเจตจำนงของมนุษย์ไว้กับดวงดาว แต่ได้เปิดเผยว่ามีบางอย่างในตัวมนุษย์ที่สามารถผลักดันเหนือระดับดวงดาวได้ พลังของมนุษย์ที่จะเอาชนะความโน้มเอียงจากดวงดาวถ้ามนุษย์เลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างมนุษย์ที่แท้จริงและอยู่เหนือโลก แต่เมื่อมนุษย์เลือกที่จะประพฤติอย่างสัตว์ ที่เดินตามสัญชาตญาณอย่างมืดบอดและกลายเป็นพวกเดียวกับสัตว์ เขาไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่า พระเจ้าคือสาเหตุของการพลัดหลงนี้ พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์เพื่อที่ว่าเขาอาจเอาชนะความโน้มเอียงของดวงดาวได้ถ้าเขามุ่งมั่นจริงจัง” คำกล่าวนี้มีหลายท่านเข้าใจไปว่า เป็นเพราะบราห์เกิดความไม่แน่ใจในโหราศาสตร์ แต่สำหรับเราที่เป็นนักโหราศาสตร์แล้ว ย่อมเข้าใจในความหมายที่บราห์ต้องการสื่อสาร โหราศาสตร์เป็นเพียงวิชาที่สามารถบ่งบอกศักยภาพของชีวิตที่ส่งเรามาเกิดในชาตินี้ พร้อมทั้งบอก กาละและเทศะที่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นกับชีวิตของเรา แต่เราเองย่อมสามารถสร้างกรรมปัจจุบันที่จะพัฒนาชีวิตของเราสู่จุดสูงสุดได้

และในฐานะพุทธศาสนิกชน เราย่อมเชื่อมั่นในศักยภาพของมนุษย์ที่สามารถพัฒนาตนเองจากปุถุชนธรรมดาให้ก้าวหน้าจนสู่ระดับเหนือโลก หรือระดับโลกุตตระได้ โดยมีตัวอย่างคือ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระศาสดาแห่งพระพุทธศาสนา ที่ถือกำเนิดเป็นมนุษย์ ไม่ได้เป็นเทพเจ้าเหนือมนุษย์ที่ไหน แต่พระองค์ก็สามารถตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นผู้ไกลจากกิเลส และเป็นผู้ปราศจากทุกข์ ซึ่งทั้งหมดนี้คือเป้าหมายสูงสุดของชาวพุทธนั่นเอง 

เพลงของไพ่ 10 ดาบ : Rain On Me ซิงเกิลใหม่จากเลดี้กาก้า และเอริอานา แกรนเด

22 พ.ค. 2020 ที่ผ่านมา วงการเพลงป็อปทั่วโลกก็สั่นสะเทือน เมื่อศิลปินตัวแม่ระดับโลก 2 คน คือ เลดี้กาก้า และ เอริอานา แกรนเด ได้ปล่อยซิงเกิ้ลใหม่ชื่อ Rain On Me ออกมา พร้อมมิวสิกวิดีโอในเวลา 10:00 น. Pacific Time จนถึงขณะที่เขียนบทความนี้ ยอดคนดูใน YouTube ก็ทะลุ 34 ล้านครั้งไปแล้วภายในเวลาเพียง 48 ชั่วโมง

ดาบปักที่ต้นขาของเลดี้กาก้าเลย

พอดูมิวสิกวีดิโอนี้ที่มีภาพดาบตกลงมาพร้อมสายฝนมาปักที่ตัวเลดี้กาก้า ผมก็นึกถึงไพ่ 10 ดาบขึ้นมาทันที ไพ่ 10 ดาบเป็นไพ่แห่งความเจ็บปวดทรมาน ความล้มเหลว และความเสียใจ เนื้อหาเพลงนี้ก็สื่อไปในทางนั้นเช่นกัน

It’s coming down on me ให้มันตกลงมาที่ฉัน
Water like misery สายฝนแห่งความทุกข์ทน
It’s coming down on me ให้มันตกลงมา
I’am ready, rain on me! ฉันพร้อม สายฝนสาดมันลงมาที่ฉันเลย!

ศิลปินทั้งสองคนต่างก็ผ่านความทุกข์ทรมานในชีวิตระดับ 10 ดาบมาแล้วทั้งคู่ เลดี้กาก้า ถูกข่มขืนตอนอายุ 19 ปี (วงรอบเมโทนิกในทางโหราศาสตร์) เธอเก็บเรื่องนี้ไว้กับตนเอง ไม่ยอมบอกใคร จนเป็นโรคเครียดหลังภยันตราย (Post-Traumatic Stress Disorder) จนผ่านไปถึง 10 ปี เธอจึงยอมเปิดปากบอกสาธารณะถึงเหตุการณ์ดังกล่าวเมื่อเธออายุ 29 ปี (ครบวงรอบดาวเสาร์)

เอริอานา แกรนเด เธอเป็นศิลปินขวัญใจเด็กวัยรุ่นตอนต้น เธอก็เคยเผชิญเรื่องร้ายแรงระดับ 10 ดาบ เมื่อ 22 พ.ค. 2017 เมื่อเกิดเหตุระเบิดฆ่าตัวตาย ที่หน้าคอนเสิร์ตของเธอที่เมืองแมนเชสเตอร์ ทำให้มีผู้เคราะห์ร้ายเสียชีวิตไป 22 คน ไม่รวมผู้ก่อการร้ายที่เสียชีวิตด้วย (22 คน เท่ากับ ไพ่เมเจอร์ 22 ใบ) และด้วยเหตุที่แฟนเพลงของเธอต่างก็เป็นเด็กวัยรุ่นทำให้ผู้เสียชีวิตถึง 10 รายที่อายุต่ำกว่า 20 ปี ผู้เสียชีวิตที่อายุน้อยที่สุดอายุแค่ 8 ปีเท่านั้น และยังมีผู้บาดเจ็บกว่า 800 คน เหตุการณ์นี้ถือว่าเป็นเรื่องเลวร้ายที่สุดครั้งหนึ่งในวงการคอนเสิร์ตโลก

เลดี้กาก้า และ อาเดรียนา แกรนเด

ศิลปินทั้งสองคนต่างก็ผ่านเรื่องร้ายแรงระดับ 10 ดาบ และเธอก็ถ่ายทอดผ่านบทเพลง Rain On Me จุดสำคัญที่ทั้งสองได้ชี้ทางออกเมื่อเจอเรื่องร้ายแรงขนาดนั้นก็คือ เนื้อเพลงตอนท้ายที่ว่า

Hands up to the sky ชูมือขึ้นสู่ฟ้า
I’ll be your galaxy ฉันจะเป็นกาแล็กซีของเธอ
I’m about to fly ฉันกำลังจะบินขึ้นไป

ไพ่ 10 ดาบ

ขอให้อดทนผ่านอุปสรรคความทุกข์ทนที่ต้องเจอ และเชื่อมั่นว่าในที่สุดทุกอย่างจะต้องดีขึ้น ก็เหมือนกับไพ่ 10 ดาบ ที่แม้คนจะถูกดาบปักทิ่มแทงถึง 10 เล่ม แต่มือขวาของเขาก็ยังชูสองนิ้ว เชื่อมั่นว่า เราจะต้องผ่านพ้นมันไปได้

*******************************
เขียนโดย พัลลาส
Pallas@horauranian.com
24 พฤษภาคม 2020
*******************************

ปล. ใครสนใจ MV นี้ เชิญชมได้ที่ https://youtu.be/AoAm4om0wTs

โหราศาสตร์ กับที่มาของวันทั้ง 7 ในรอบสัปดาห์

ผมเคยสงสัยมาตลอดว่าทำไมเราถึงใช้สัปดาห์มี 7 วัน ทำไมไม่ทำให้สอดคล้องกับเดือนในแต่ละเดือน หรือจำนวนวัน ใน 1 ปี เคยลองพยายามหาสมมุติฐานไปเรื่อย สิ่งที่ใกล้เคียงที่สุดคือ หลักการของทฤษฏีวงรอบของจันทรคติ คือ ประมาณ 28-30 วันต่อ 1 รอบ

ต้นกำเนิด และที่มาทำไมต้อง 7 วัน

จากการค้นคว้าหาข้อมูล พบว่า การใช้สัปดาห์มี 7 วัน มีมาตั้งแต่ยุคสุเมเรียน และบาบิโลน โดยมีการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์โลกว่า ได้มีการกำหนดให้หนึ่งสัปดาห์มี 7 วัน เมื่อประมานปีที่ 2350 ก่อนคริสตศักราช (2350BC) โดยกษัตริย์ซาร์ก้อนที่หนึ่งแห่งนครอัคคาด (Sargon I, King of Akkad) ภายหลังจากที่ได้ยึดครองเมืองอูร์ (Ur) และเมืองอื่น ๆ ในคว้นสุเมอร์เรีย (Sumeria) ชื่อของกษัตริย์องค์นี้ และเมืองนี้มีการอ้างถึงในหนังสือคัมภีร์สูตรเรือนชะตาของอาจารย์ประยูร พลอารีย์ ซึ่งผมจะไปค้นคว้าเพิ่มเติม แล้วกลับมาเล่าให้ฟังในโอกาสต่อไป

นอกจากเมืองอูร์จะเป็นต้นกำเนิดของการกำหนดให้สัปดาห์หนึ่งมีเจ็ดวันแล้ว ยังเป็นต้นกำเนิดของการกำหนดให้หนึ่งชั่วโมงมี 60 นาทีด้วย เพราะในยุคนั้น ชาวซุเมอร์เรียนใช้ระบบเลขหลัก 60 ในการคำนวน (แทนการใช้ระบบทศนิยมในปัจจุบัน)

ในยุคสมัยนั้น มนุษย์มีความเชื่อว่า โลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล หรือเรียกว่า Geocentric ดวงอาทิตย์ และสิ่งต่างบนท้องฟ้าต่างโคจรรอบโลก และค้นพบว่ามีดาวเคราะห์ที่สามารถสังเกตได้ด้วยตาเปล่า (naked eye planets) อยู่ 5 ดวง ซึ่งประกอบด้วย ดาวพุธ ดาวอังคาร ดาวศุกร์ ดาวพฤหัส และดาวเสาร์ เคลื่อนที่ผ่านกลุ่มดาวฤกษ์ (Fix Stars) หรือกลุ่มดาวในจักรราศี และเมื่อรวมกับ ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ ก็จะมีดาวบริวารของโลกทั้งสิ้น 7 ดวง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำไมสัปดาห์จึงมี 7 วัน จะเห็นได้จากชื่อที่ใช้เรียกในแต่ละวันยังคงมีความหมายที่เกี่ยวข้องกับดาว หรือตามตำนานของเทพเจ้าประจำดาว ทั้ง 7

การเรียงลำดับของวันในสัปดาห์ (Order)

และเมื่อค้นลึกลงไปอีก ก็เป็นที่น่าประหลาดใจและเหลือเชื่ออย่างยิ่งว่า จริงๆแล้วการเรียงวันในสัปดาห์ มีรากฐานมาจากโหราศาสตร์นั้นเอง

เมื่อโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล โดยมีดาวทั้ง 7 ดวงที่โคจรอยู่รอบโลกนั้น ดาวก็ถูกจัดเรียงลำดับตามระบบปโตเลมี (Ptolemaic system) คือ เรียงจากดาวไกลสุดจากโลกมากที่สุดมายังดาวใกล้โลกมากที่สุด โดยใช้อัตราการโคจรรอบโลกเป็นตัววัด จึงได้การเรียงลำดับดังนี้ เสาร์ พฤหัส อังคาร อาทิตย์ ศุกร์ พุธ และจันทร์ ดังรูปที่แสดง

โมเดลสุริยจักรวาล แบบปโตเลมี ซึ่งมีโลกเป็นศูนย์กลาง (Geocentric)

และจากนั้นให้แต่ละชั่วโมงมีดาวเป็นดาวประจำชั่วโมงอยู่ โดยเรียงลำดับตาม เสาร์ พฤหัส อังคาร อาทิตย์ ศุกร์ พุธ และจันทร์ ตามลำดับ และวนรอบไปเรื่อยๆ เรียกว่า “Planetary Hours” ซึ่งก็คือ ระบบยามแบบสากล นั่นเอง

Planetary Hours หรือ ยามแบบสากล เป็นวิธีการทำนายกาลชะตา (Horary) แบบหนึ่ง ซึ่งยังคงได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย แล้วผมจะมาเล่าเพิ่มเติม ว่าน่าสนใจเพียงใด มีวิธีการทำนาย และการคำนวณอย่างไร

ดาว 7 แฉก ตามยามแต่ละชั่วโมง (Heptagram of the week)

ชั่วโมงแรกของรุ่งอรุณของวันที่ 1 เริ่มต้นที่ ดาวเสาร์ ให้ชื่อว่า “ชั่วโมงของเสาร์” ถัดไปชั่วโมงที่ 2 เป็น “ชั่วโมงของพฤหัส” ชั่วโมงที่ 3 เป็น “ชั่วโมงของอังคาร” ชั่วโมงต่อไป เป็น “ชั่วโมงของอาทิตย์“, “ชั่วโมงของศุกร์“, “ชั่วโมงของพุธ” และ “ชั่วโมงของจันทร์” ตามลำดับ และเมื่อครบรอบ 7 ชั่วโมง ก็จะวนกลับมาที่ “ชั่วโมงของเสาร์” ใหม่ เป็นวงรอบไปเรื่อยๆไม่รู้จบ

ดังนั้นชั่วโมงที่ 25 หรือชั่วโมงที่ 1 ของวันที่ 2 ก็จะเป็น “ชั่วโมงของอาทิตย์” และชั่วโมงที่ 49 หรือชั่วโมงที่ 1 ของวันที่ 3 คือ “ชั่วโมงของจันทร์

และเมื่อเรียงลำดับชั่วโมงไปเรื่อย ครบทั้ง 7 วัน เราก็จะพบว่าชื่อของวันนั้น คือ ดาวที่ประจำของรุ่งอรุณในแต่ละวัน ดังนั้นจริงๆ แล้ววันแรกในสัปดาห์จะเริ่มต้นด้วย “วันเสาร์” และถัดไปคือ วันอาทิตย์ จันทร์ อังคาร พฤหัสบดี และ ศุกร์ ตามลำดับ

หากท่านใดมีความรู้เรื่องยามอัฐกาล ของโหราศาสตร์ไทย ก็จะพบว่าลำดับดาวพระเคราห์ประจำยามในภาคกลางวัน มีการเรียงลำดับตามระบบปโตเลมี ซึ่งอาจาร์ยพลูหลวง เคยเขียนบทความถึงความมหัศจรรย์ของดาว 7 แฉกนี้ ทั้งเรื่องของยามอัฐกาล และ เลข 7 ตัว

ดวงเจ็ดแฉก (Heptagram)
ลำดับดาวเคราะห์ตามความเร็วโคจรเรียงเป็นวงกลม ส่วนเส้นตรงเชื่อมดาว คือ ลำดับของวันในสัปดาห์

ชื่อวัน ใน 1 สัปดาห์ (The Names of the Days)

การกำหนดชื่อวันในแต่ละสัปดาห์ในทุกชาติทุกภาษาจะตั้งชื่อให้เกี่ยวข้องกับเทพเจ้าในตำนาน หรือมีความหมายตามดาวดาวทั้ง 7 แทบทั้งสิ้น สมัยแรกๆ จะให้วันเสาร์ (Saturday) เป็นวันแรกของสัปดาห์ ต่อมา ได้นับถือดวงอาทิตย์มากขึ้น จึงให้วันของดวงอาทิตย์ (Sun’s day) เลื่อนอันดับ จากวันอันดับที่ 2 ของสัปดาห์ เป็นวันแรกของสัปดาห์แทน ทำให้วันเสาร์ กลายเป็นวันลำดับที่ 7 ของสัปดาห์ไปในที่สุด

วันอาทิตย์ (Sunday)
มีชื่อมาจากภาษาละติน ว่า “dies solis” หมายถึง “วันของดวงอาทิตย์” (Sun’s day) เป็นชื่อวันหยุดของคนนอกศาสนา และต่อมา ถูกเรียกว่า “Dominica” (ภาษาละติน) หมายถึง “วันของพระเจ้า” (the Day of God) ต่อมา ภาษาที่มีรากศัพท์มาจากภาษาละติน เช่น ฝรั่งเศส, สเปน, อิตาเลี่ยน ก็ยังคงใช้คำที่คล้ายกับรากศัพท์ดังกล่าว เช่น

• ภาษาฝรั่งเศส: dimanche;
• ภาษาอิตาเลี่ยน: domenica;
• ภาษาสเปน: domingo
• ภาษาเยอรมัน: Sonntag;
• ภาษาดัทช์: zondag ทั้งหมดมีความหมายว่า “Sun-day”

วันจันทร์ (Monday)
มีชื่อมาจากคำว่า “monandaeg” หมายถึง “วันของดวงจันทร์” (The Moon’s day) เป็นวันที่สองของสัปดาห์ ที่ตั้งขึ้นมา เพื่อสักการะ “เทพธิดาแห่งดวงจันทร์” (The goddess of the moon)

• ภาษาฝรั่งเศส: lundi;
• ภาษาอิตาเลี่ยน: lunedi; 
• ภาษาสเปน: lunes (มาจากคำว่า Luna หมายถึง “ดวงจันทร์”)
• ภาษาเยอรมัน: Montag; 
• ภาษาดัทช์: maandag ทั้งหมดมีความหมายว่า “Moon-day” 

วันอังคาร (Tuesday)
เป็นชื่อเทพเจ้า Tyr ของชาวนอรเวโบราณ (The Norse god Tyr) ส่วนชาวโรมัน เรียกเป็นชื่อสำหรับเทพเจ้าสงคราม แห่งดาวอังคาร (the war-god Mars) ว่า “dies Martis”
• ภาษาฝรั่งเศส: mardi;
• ภาษาอิตาเลี่ยน: martedi;
• ภาษาสเปน: martes
• ภาษาเยอรมัน: Diensdag;
• ภาษาดัทช์: dinsdag;
• ภาษาสวีเดน: tisdag

วันพุธ (Wednesday)
เป็นวันที่ตั้งเป็นเกียรติสำหรับ เทพเจ้า Odin ของชาวสวีเดน และนอรเวโบราณ ส่วนชาวโรมันเรียกว่า “dies Mercurii” สำหรับใช้เรียกเทพเจ้า Mercury (ประจำดาวพุธ)

• ภาษาฝรั่งเศส: mercredi; 
• ภาษาอิตาเลี่ยน: mercoledi; 
• ภาษาสเปน: miercoles
• ภาษาเยอรมัน: Mittwoch; 
• ภาษาดัทช์: woensdag

วันพฤหัสบดี (Thursday)
เป็นชื่อเทพเจ้า Thor ของชาวนอรเวโบราณ (The Norse god Thor) เรียกว่า “Torsdag” ส่วนชาวโรมัน เรียกเป็นชื่อสำหรับเทพเจ้า Jove หรือ Jupiter ซึ่งเป็นเทพเจ้า แห่งเทพทั้งปวง และเรียกวันนี้ว่า “dies Jovis” หมายถึง วันของ Jove (Jove’s Day)

• ภาษาฝรั่งเศส: jeudi; 
• ภาษาอิตาเลี่ยน: giovedi; 
• ภาษาสเปน: el jueves
• ภาษาเยอรมัน: Donnerstag; 
• ภาษาดัทช์: donderdag ทั้งหมดมีความหมายว่า “วันสายฟ้า” (Thundar day)

วันศุกร์ (Friday)
เป็นชื่อเทพธิดา Frigg ของชาวนอรเวโบราณ (The Norse goddess Frigg) ภาษาเยอรมันเคยเรียกว่า “frigedag” ส่วนชาวโรมัน เรียกเป็นชื่อสำหรับเทพธิดา Venus ว่า “dies veneris”

• ภาษาฝรั่งเศส: vendredi; 
• ภาษาอิตาเลี่ยน: venerdi; 
• ภาษาสเปน: viernes
• ภาษาเยอรมัน: Freitag; 
• ภาษาดัทช์: vrijdag

วันเสาร์ (Saturday)
ชาวโรมันใช้เรียกเป็นชื่อสำหรับเทพเจ้า Saturn ว่า “dies Saturni” หมายถึง Saturn’s Day.

• ภาษาฝรั่งเศส: samedi;
• ภาษาอิตาเลี่ยน: sabato;
• ภาษาสเปน: el sabado
• ภาษาเยอรมัน: Samstag;
• ภาษาดัทช์: zaterdag;
• ภาษาสวีเดน: Lordag
• ภาษาเดนมาร์คและนอรเว: Lordag หมายถึง “วันชำระล้าง” (Washing day)

ที่มา
http://en.wikipedia.org/wiki/days_of_the_week
http://www.walkinthelight.ca/History%20of%20the%20Calendar.htm
http://www.hermetic.ch/cal_stud/hlwc/why_seven.htm
http://www.pantheon.org/miscellaneous/origin_days.html
http://www.skeptics.com.au/journal/1995/1_calendar.htm
http://www.users.globalnet.co.uk/~loxias/week.htm
http://web1.dara.ac.th/daraspace/Mythology/DayMonthName.htm
http://www.renaissanceastrology.com/planetaryhoursarticle.html

*******************************
เขียนโดย Phainon
เมื่อ กันยายน 2549
ลงใน http://www.horauranian.com
*******************************

สัตว์มงคลประจำวันเกิดแบบพม่า

ที่ประเทศพม่า มีคติการไหว้ทิศประจำวันเกิดตามดาวพระเคราะห์ประจำวันเกิด ซึ่งตรงกับหลักทักษาของไทย เวลาเราไปสักการะพระเจดีย์ในประเทศพม่า จะนิยมไปไหว้พระพุทธรูปที่อยู่ประจำทิศวันเกิดของเรา ทิศรอบพระเจดีย์นั้นจะแบ่งเป็น 8 ทิศ ส่วนวันเกิดในรอบสัปดาห์มี 7 วัน ตรงนี้คติของไทย จะแยกผู้ที่เกิดวันพุธกลางวัน (ดาวพุธ) กับวันพุธกลางคืน (ราหู) ออกจากกัน ส่วนของพม่านั้น จะกำหนด ราหู เป็นดาวสำหรับผู้ที่ไม่ทราบวันเกิดของตน

นอกจากทิศประจำวันเกิดแล้ว ธรรมเนียมของพม่าจะมีสัตว์มงคลประจำวันเกิดทั้งแปดอีกด้วย ซึ่งผมขอสรุปมาดังนี้]

ผู้ที่เกิดวันอาทิตย์ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ สัตว์มงคลคือ ครุฑ
ผู้ที่เกิดวันจันทร์ ทิศตะวันออก สัตว์มงคลคือ เสือ
ผู้ที่เกิดวันอังคาร ทิศตะวันออกเฉียงใต้ สัตว์มงคลคือ สิงห์
ผู้ที่เกิดวันพุธ ทิศใต้ สัตว์มงคลคือ ช้างมีงา
ผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดี ทิศตะวันตก สัตว์มงคลคือ หนูมีหาง
ผู้ที่เกิดวันศุกร์ ทิศเหนือ สัตว์มงคลคือ หนูไม่มีหาง
ผู้ที่เกิดวันเสาร์ ทิศตะวันตกเฉียงใต้ สัตว์มงคลคือ นาค
ผู้ไม่ทราบวันเกิด (หรือเกิดพุธกลางคืน) ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ สัตว์มงคลคือ ช้างไม่มีงา

สำหรับผู้สนใจจะไปเที่ยวสายบุญที่มัณฑะเลย์ พม่า ในวันวสันตวิษุวัต ที่มีฤกษ์พลิกชีวิตประจำปี กับ อ.กามล แสงวงศ์ และ อ.พัลลาส รีบจองทัวร์ ได้เลยครับ หมดเขตจองภายในเดือนนี้แล้ว
เป็นโอกาสพิเศษสุดที่จะได้ร่วม พิธีล้างพระพักตร์พระมหามัยมุนี และสวดมนต์ในวันวสันตวิษุวัต เสริมดวง เปลี่ยนชีวิต ลิขิตชะตากับ อาจารย์กามล คนลิขิตดวง ในแพคเกจ ทัวร์พลิกชีวิตมัณฑะเลย์ อมรปุระ สะกาย อังวะ มินกุน 19-21 มี.ค 63 รายละเอียดคลิก >> bit.ly/32O1kv0

****************************
เขียนโดย พัลลาส
pallas@horauranian.com
****************************

ออกแบบอัญมณีตามดวงประจำปี

โดย พัลลาส Pallas@horauranian.com
11 มกราคม 2562

ทุก ๆ ปี เมื่อถึงวันเกิดของภรรยา ผมก็จะหาของขวัญให้กับภรรยาตามนิสัยสามีที่ดี เพราะการเลือกของขวัญให้ภรรยานั้นเป็นศิลปะอย่างยิ่งที่ผู้ชายต้องเรียนรู้ไว้เพื่อชีวิตครอบครัวที่มีความสุข

ปีก่อน ๆ ผมได้เลือกอัญมณีตามราศีเกิดของภรรยา แล้วทำเป็นเครื่องประดับ เช่น กำไล ต่างหู แหวน โดยออกแบบให้เข้าชุดกัน ภรรยาผมเกิดในราศีธนู ตำราอัญมณีสายโหราศาสตร์สากลบอกว่า อัญมณีประจำราศีธนู คือ เทอร์ควอยส์ (Turqouise), เพทายสีฟ้า (Blue Zircon) และ ลาพิซ ลาซูรี (Lapis Lazuri) ด้วยความชอบส่วนตัว ผมจึงเลือกเพทาย ทำเป็นเครื่องประดับให้ภรรยา

มาปีนี้ ผมคิดว่า อยากทำอะไรให้พิเศษกว่าปีก่อน ๆ และด้วยความเป็นนักโหราศาสตร์ ผมก็จะดูดวงชะตาวันเกิดของภรรยา เพื่อดูความเป็นไปในปีหน้าของเธอ วิธีนี้เรียกว่า ดวงทินวรรษ (Solar Return) ซึ่งเป็นดวงที่คำนวณ ณ วันเวลาที่ดวงอาทิตย์โคจรมาตำแหน่งเดียวกับขณะเกิด ซึ่งก็คือดวงวันเกิดนั่นเอง โดยในแต่ละปี วันเวลาอาจจะไม่ตรงกับวันเกิดทีเดียว เพราะเรายึดที่ตำแหน่งดวงอาทิตย์ ไม่ได้ยึดตามวันเกิดตามปฏิทินทั่วไป

ผมพบว่า ดวงทินวรรษของภรรยาคราวนี้ มีจุดเด่นอยู่ที่ ดาวพฤหัส ดาวแห่งความสำเร็จ กำลังกุมอยู่กับดวงอาทิตย์ (เจ้าชะตา) และดาวพุธ (การสื่อสาร) ในราศีธนู พอดี นั่นแปลว่า ปีที่จะถึงนี้ เป็นปีที่เธอจะมีโชคดีรออยู่ ผมจึงเกิดไอเดียขึ้นมาว่า ไหน ๆ ดวงจะดีแล้ว เธอน่าจะได้ใส่เครื่องประดับที่เสริมดวงประจำปีเธอไปเลย

ขออธิบายขยายความตรงนี้เพิ่มเติมว่า เรื่องอัญมณีในโหราศาสตร์นี้ ถือได้ว่า เป็นหลักวิชาที่มีความหลากหลายอย่างมาก แต่ละตำราก็จัดอัญมณีประจำราศีไม่ตรงกัน ยิ่งพอผมอยากหาอัญมณีแทนดาวด้วยแล้ว ยิ่งมีความแตกต่างเพิ่มขึ้นไปอีก อย่างไรก็ตาม ผมได้ศึกษาเรื่องนี้มานานพอสมควร ทำความเข้าใจเหตุผลที่มาที่แต่ละตำราจัดให้อัญมณีแทนราศีแทนดาว และได้ผสมผสานตำราหลาย ๆ เล่มเข้าด้วยกัน จนเป็นแนวทางของตนเองขึ้นมา

บทกลอนของไทย ที่พูดถึง รัตนชาตทั้งเก้า หรือ นพรัตน์ ได้แต่งไว้ดังนี้ “เพชรดีมณีแดง เขียวใสแสงมรกต เหลืองใสสดบุษราคัม แดงแก่ก่ำโกเมนเอก สีหมอกเมฆนิลกาฬ มุกดาหารหมอกมัว แดงสลัวเพทาย สังวาลย์สายไพฑูรย์” และหากเราต้องการทราบว่า นพรัตน์ นี้ รัตนะไหนหมายถึงดาวอะไร ก็ต้องตามไปอ่านจาก คัมภีร์ปาริชาตชาดก ซึ่งเป็นคัมภีร์โหราศาสตร์ของอินเดีย ที่กล่าวถึง รัตนชาติ หรืออัญมณีประจำดวงดาว เอาไว้ว่า “ทับทิมบริสุทธิ์ เป็นรัตนของอาทิตย์ ไข่มุกที่ขาวบริสุทธิ์โดยแท้ธรรมชาติ เป็นรัตนของจันทร์ ปะการังแก้วประวาล เป็นรัตนของอังคาร มรกต เป็นรัตนของพุธ บุษราคัม เป็นรัตนของพฤหัสบดี เพชร เป็นรัตนของศุกร์ ไพลิน เป็นรัตนของเสาร์ โกเมนเอก เป็นรัตนของราหู และไพฑูรย์ เป็นรัตนของเกตุฯ”  ดังนั้น จากตำราของไทยที่ได้รับอิทธิพลจากอินเดีย อัญมณีประจำดาวพฤหัสก็คือ บุษราคัม (Yellow Sapphire)

ผมจึงเลือก บุษราคัม เป็นอัญมณีหลักสำหรับของขวัญชิ้นนี้ เพราะต้องการเน้นที่ ดาวพฤหัส ดาวแห่งความสำเร็จ ที่กำลังโคจรมากุมกับดาวอาทิตย์ของภรรยา

img_2799คราวนี้ก็มาคิดต่อว่า จะเอามาทำเป็นเครื่องประดับชิ้นไหน ปรากฏว่า ดาวพฤหัส กุม ดาวพุธ อยู่ ดาวพุธนั้นหมายถึง การสื่อสาร การเรียนรู้ การให้เหตุผล การพูด และการฟัง คำว่า พหูสูต ที่แปลว่า ผู้รู้ นั้น คำว่า สูต ก็มาจากคำว่า สุตะ ที่แปลว่า การฟัง ซึ่งอวัยวะสำคัญในการฟังก็คือ หู ผมจึงเลือกที่จะทำเครื่องประดับเป็น ต่างหู เพื่อให้แทนความหมายของ ดาวพุธ ที่กุมกับดาวอาทิตย์และดาวพฤหัสในดวงทินวรรษ

ตอนนี้ก็ยังมีดาวอาทิตย์อีกปัจจัย ที่อยู่ในชุดนี้ ในทางโหราศาสตร์ ดาวอาทิตย์ ก็คือ ดวงตา เพราะแสงจากดวงอาทิตย์ทำให้เรามองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ ผมจึงออกแบบให้ ต่างหู คู่นี้ มีรูปทรงคล้ายกับดวงตา

สรุปก็คือ ผมเลือกปัจจัยเด่นจากดวงทินวรรษของภรรยา คือ อาทิตย์ พุธ และพฤหัส กุมกันอยู่ มาออกแบบเครื่องประดับ นั่นคือ ต่างหู (ดาวพุธ) ที่ทำจากบุษราคัม (ดาวพฤหัส) ซึ่งมีลักษณะคล้ายดวงตา (ดาวอาทิตย์)  เป็นของขวัญวันเกิดสำหรับภรรยา เพื่อเสริมดวงประจำปีนี้ของเธอให้ เจ้าชะตา (อาทิตย์) มีความสำเร็จ (พฤหัส) จากปัญญา (พุธ) นั่นเอง