ผมเคยสงสัยมาตลอดว่าทำไมเราถึงใช้สัปดาห์มี 7 วัน ทำไมไม่ทำให้สอดคล้องกับเดือนในแต่ละเดือน หรือจำนวนวัน ใน 1 ปี เคยลองพยายามหาสมมุติฐานไปเรื่อย สิ่งที่ใกล้เคียงที่สุดคือ หลักการของทฤษฏีวงรอบของจันทรคติ คือ ประมาณ 28-30 วันต่อ 1 รอบ
ต้นกำเนิด และที่มาทำไมต้อง 7 วัน
จากการค้นคว้าหาข้อมูล พบว่า การใช้สัปดาห์มี 7 วัน มีมาตั้งแต่ยุคสุเมเรียน และบาบิโลน โดยมีการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์โลกว่า ได้มีการกำหนดให้หนึ่งสัปดาห์มี 7 วัน เมื่อประมานปีที่ 2350 ก่อนคริสตศักราช (2350BC) โดยกษัตริย์ซาร์ก้อนที่หนึ่งแห่งนครอัคคาด (Sargon I, King of Akkad) ภายหลังจากที่ได้ยึดครองเมืองอูร์ (Ur) และเมืองอื่น ๆ ในคว้นสุเมอร์เรีย (Sumeria) ชื่อของกษัตริย์องค์นี้ และเมืองนี้มีการอ้างถึงในหนังสือคัมภีร์สูตรเรือนชะตาของอาจารย์ประยูร พลอารีย์ ซึ่งผมจะไปค้นคว้าเพิ่มเติม แล้วกลับมาเล่าให้ฟังในโอกาสต่อไป
นอกจากเมืองอูร์จะเป็นต้นกำเนิดของการกำหนดให้สัปดาห์หนึ่งมีเจ็ดวันแล้ว ยังเป็นต้นกำเนิดของการกำหนดให้หนึ่งชั่วโมงมี 60 นาทีด้วย เพราะในยุคนั้น ชาวซุเมอร์เรียนใช้ระบบเลขหลัก 60 ในการคำนวน (แทนการใช้ระบบทศนิยมในปัจจุบัน)
ในยุคสมัยนั้น มนุษย์มีความเชื่อว่า โลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล หรือเรียกว่า Geocentric ดวงอาทิตย์ และสิ่งต่างบนท้องฟ้าต่างโคจรรอบโลก และค้นพบว่ามีดาวเคราะห์ที่สามารถสังเกตได้ด้วยตาเปล่า (naked eye planets) อยู่ 5 ดวง ซึ่งประกอบด้วย ดาวพุธ ดาวอังคาร ดาวศุกร์ ดาวพฤหัส และดาวเสาร์ เคลื่อนที่ผ่านกลุ่มดาวฤกษ์ (Fix Stars) หรือกลุ่มดาวในจักรราศี และเมื่อรวมกับ ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ ก็จะมีดาวบริวารของโลกทั้งสิ้น 7 ดวง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำไมสัปดาห์จึงมี 7 วัน จะเห็นได้จากชื่อที่ใช้เรียกในแต่ละวันยังคงมีความหมายที่เกี่ยวข้องกับดาว หรือตามตำนานของเทพเจ้าประจำดาว ทั้ง 7
การเรียงลำดับของวันในสัปดาห์ (Order)
และเมื่อค้นลึกลงไปอีก ก็เป็นที่น่าประหลาดใจและเหลือเชื่ออย่างยิ่งว่า จริงๆแล้วการเรียงวันในสัปดาห์ มีรากฐานมาจากโหราศาสตร์นั้นเอง
เมื่อโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล โดยมีดาวทั้ง 7 ดวงที่โคจรอยู่รอบโลกนั้น ดาวก็ถูกจัดเรียงลำดับตามระบบปโตเลมี (Ptolemaic system) คือ เรียงจากดาวไกลสุดจากโลกมากที่สุดมายังดาวใกล้โลกมากที่สุด โดยใช้อัตราการโคจรรอบโลกเป็นตัววัด จึงได้การเรียงลำดับดังนี้ เสาร์ พฤหัส อังคาร อาทิตย์ ศุกร์ พุธ และจันทร์ ดังรูปที่แสดง
โมเดลสุริยจักรวาล แบบปโตเลมี ซึ่งมีโลกเป็นศูนย์กลาง (Geocentric)
และจากนั้นให้แต่ละชั่วโมงมีดาวเป็นดาวประจำชั่วโมงอยู่ โดยเรียงลำดับตาม เสาร์ พฤหัส อังคาร อาทิตย์ ศุกร์ พุธ และจันทร์ ตามลำดับ และวนรอบไปเรื่อยๆ เรียกว่า “Planetary Hours ” ซึ่งก็คือ ระบบยามแบบสากล นั่นเอง
Planetary Hours หรือ ยามแบบสากล เป็นวิธีการทำนายกาลชะตา (Horary) แบบหนึ่ง ซึ่งยังคงได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย แล้วผมจะมาเล่าเพิ่มเติม ว่าน่าสนใจเพียงใด มีวิธีการทำนาย และการคำนวณอย่างไร
ดาว 7 แฉก ตามยามแต่ละชั่วโมง (Heptagram of the week)
ชั่วโมงแรกของรุ่งอรุณของวันที่ 1 เริ่มต้นที่ ดาวเสาร์ ให้ชื่อว่า “ชั่วโมงของเสาร์ ” ถัดไปชั่วโมงที่ 2 เป็น “ชั่วโมงของพฤหัส ” ชั่วโมงที่ 3 เป็น “ชั่วโมงของอังคาร ” ชั่วโมงต่อไป เป็น “ชั่วโมงของอาทิตย์ “, “ชั่วโมงของศุกร์ “, “ชั่วโมงของพุธ ” และ “ชั่วโมงของจันทร์ ” ตามลำดับ และเมื่อครบรอบ 7 ชั่วโมง ก็จะวนกลับมาที่ “ชั่วโมงของเสาร์ ” ใหม่ เป็นวงรอบไปเรื่อยๆไม่รู้จบ
ดังนั้นชั่วโมงที่ 25 หรือชั่วโมงที่ 1 ของวันที่ 2 ก็จะเป็น “ชั่วโมงของอาทิตย์ ” และชั่วโมงที่ 49 หรือชั่วโมงที่ 1 ของวันที่ 3 คือ “ชั่วโมงของจันทร์ ”
และเมื่อเรียงลำดับชั่วโมงไปเรื่อย ครบทั้ง 7 วัน เราก็จะพบว่าชื่อของวันนั้น คือ ดาวที่ประจำของรุ่งอรุณในแต่ละวัน ดังนั้นจริงๆ แล้ววันแรกในสัปดาห์จะเริ่มต้นด้วย “วันเสาร์ ” และถัดไปคือ วันอาทิตย์ จันทร์ อังคาร พฤหัสบดี และ ศุกร์ ตามลำดับ
หากท่านใดมีความรู้เรื่องยามอัฐกาล ของโหราศาสตร์ไทย ก็จะพบว่าลำดับดาวพระเคราห์ประจำยามในภาคกลางวัน มีการเรียงลำดับตามระบบปโตเลมี ซึ่งอาจาร์ยพลูหลวง เคยเขียนบทความถึงความมหัศจรรย์ของดาว 7 แฉกนี้ ทั้งเรื่องของยามอัฐกาล และ เลข 7 ตัว
ดวงเจ็ดแฉก (Heptagram) ลำดับดาวเคราะห์ตามความเร็วโคจรเรียงเป็นวงกลม ส่วนเส้นตรงเชื่อมดาว คือ ลำดับของวันในสัปดาห์
ชื่อวัน ใน 1 สัปดาห์ (The Names of the Days)
การกำหนดชื่อวันในแต่ละสัปดาห์ในทุกชาติทุกภาษาจะตั้งชื่อให้เกี่ยวข้องกับเทพเจ้าในตำนาน หรือมีความหมายตามดาวดาวทั้ง 7 แทบทั้งสิ้น สมัยแรกๆ จะให้วันเสาร์ (Saturday) เป็นวันแรกของสัปดาห์ ต่อมา ได้นับถือดวงอาทิตย์มากขึ้น จึงให้วันของดวงอาทิตย์ (Sun’s day) เลื่อนอันดับ จากวันอันดับที่ 2 ของสัปดาห์ เป็นวันแรกของสัปดาห์แทน ทำให้วันเสาร์ กลายเป็นวันลำดับที่ 7 ของสัปดาห์ไปในที่สุด
วันอาทิตย์ (Sunday) มีชื่อมาจากภาษาละติน ว่า “dies solis” หมายถึง “วันของดวงอาทิตย์” (Sun’s day) เป็นชื่อวันหยุดของคนนอกศาสนา และต่อมา ถูกเรียกว่า “Dominica” (ภาษาละติน) หมายถึง “วันของพระเจ้า” (the Day of God) ต่อมา ภาษาที่มีรากศัพท์มาจากภาษาละติน เช่น ฝรั่งเศส, สเปน, อิตาเลี่ยน ก็ยังคงใช้คำที่คล้ายกับรากศัพท์ดังกล่าว เช่น
• ภาษาฝรั่งเศส: dimanche; • ภาษาอิตาเลี่ยน: domenica; • ภาษาสเปน: domingo • ภาษาเยอรมัน: Sonntag; • ภาษาดัทช์: zondag ทั้งหมดมีความหมายว่า “Sun-day”
วันจันทร์ (Monday) มีชื่อมาจากคำว่า “monandaeg” หมายถึง “วันของดวงจันทร์” (The Moon’s day) เป็นวันที่สองของสัปดาห์ ที่ตั้งขึ้นมา เพื่อสักการะ “เทพธิดาแห่งดวงจันทร์” (The goddess of the moon)
• ภาษาฝรั่งเศส: lundi; • ภาษาอิตาเลี่ยน: lunedi; • ภาษาสเปน: lunes (มาจากคำว่า Luna หมายถึง “ดวงจันทร์”) • ภาษาเยอรมัน: Montag; • ภาษาดัทช์: maandag ทั้งหมดมีความหมายว่า “Moon-day”
วันอังคาร (Tuesday) เป็นชื่อเทพเจ้า Tyr ของชาวนอรเวโบราณ (The Norse god Tyr) ส่วนชาวโรมัน เรียกเป็นชื่อสำหรับเทพเจ้าสงคราม แห่งดาวอังคาร (the war-god Mars) ว่า “dies Martis” • ภาษาฝรั่งเศส: mardi; • ภาษาอิตาเลี่ยน: martedi; • ภาษาสเปน: martes • ภาษาเยอรมัน: Diensdag; • ภาษาดัทช์: dinsdag; • ภาษาสวีเดน: tisdag
วันพุธ (Wednesday) เป็นวันที่ตั้งเป็นเกียรติสำหรับ เทพเจ้า Odin ของชาวสวีเดน และนอรเวโบราณ ส่วนชาวโรมันเรียกว่า “dies Mercurii” สำหรับใช้เรียกเทพเจ้า Mercury (ประจำดาวพุธ)
• ภาษาฝรั่งเศส: mercredi; • ภาษาอิตาเลี่ยน: mercoledi; • ภาษาสเปน: miercoles • ภาษาเยอรมัน: Mittwoch; • ภาษาดัทช์: woensdag
วันพฤหัสบดี (Thursday) เป็นชื่อเทพเจ้า Thor ของชาวนอรเวโบราณ (The Norse god Thor) เรียกว่า “Torsdag” ส่วนชาวโรมัน เรียกเป็นชื่อสำหรับเทพเจ้า Jove หรือ Jupiter ซึ่งเป็นเทพเจ้า แห่งเทพทั้งปวง และเรียกวันนี้ว่า “dies Jovis” หมายถึง วันของ Jove (Jove’s Day)
• ภาษาฝรั่งเศส: jeudi; • ภาษาอิตาเลี่ยน: giovedi; • ภาษาสเปน: el jueves • ภาษาเยอรมัน: Donnerstag; • ภาษาดัทช์: donderdag ทั้งหมดมีความหมายว่า “วันสายฟ้า” (Thundar day)
วันศุกร์ (Friday) เป็นชื่อเทพธิดา Frigg ของชาวนอรเวโบราณ (The Norse goddess Frigg) ภาษาเยอรมันเคยเรียกว่า “frigedag” ส่วนชาวโรมัน เรียกเป็นชื่อสำหรับเทพธิดา Venus ว่า “dies veneris”
• ภาษาฝรั่งเศส: vendredi; • ภาษาอิตาเลี่ยน: venerdi; • ภาษาสเปน: viernes • ภาษาเยอรมัน: Freitag; • ภาษาดัทช์: vrijdag
วันเสาร์ (Saturday) ชาวโรมันใช้เรียกเป็นชื่อสำหรับเทพเจ้า Saturn ว่า “dies Saturni” หมายถึง Saturn’s Day.
• ภาษาฝรั่งเศส: samedi; • ภาษาอิตาเลี่ยน: sabato; • ภาษาสเปน: el sabado • ภาษาเยอรมัน: Samstag; • ภาษาดัทช์: zaterdag; • ภาษาสวีเดน: Lordag • ภาษาเดนมาร์คและนอรเว: Lordag หมายถึง “วันชำระล้าง” (Washing day)
ที่มา http://en.wikipedia.org/wiki/days_of_the_week http://www.walkinthelight.ca/History%20of%20the%20Calendar.htm http://www.hermetic.ch/cal_stud/hlwc/why_seven.htm http://www.pantheon.org/miscellaneous/origin_days.html http://www.skeptics.com.au/journal/1995/1_calendar.htm http://www.users.globalnet.co.uk/~loxias/week.htm http://web1.dara.ac.th/daraspace/Mythology/DayMonthName.htm http://www.renaissanceastrology.com/planetaryhoursarticle.html
******************************* เขียนโดย Phainon เมื่อ กันยายน 2549 ลงใน http://www.horauranian.com *******************************