เคล็ดลับต้อนรับวันปีใหม่ทางโหราศาสตร์

เขียนโดย พัลลาส (Pallas@horauranian.com)
19 ธันวาคม 2561

ตามหลักโหราศาสตร์สากล ซึ่งใช้ระบบจักรราศีที่อ้างอิงฤดูกาล หรือที่เรียกในภาษาโหรว่า จักรราศีสายนะ (Tropical Zodiac) เราจะถือเอาวันที่ดวงอาทิตย์โคจรเข้าสู่ราศีมกร หรือที่เรียกว่า วันเห-มายัน (Winter Solstice) เป็นวันขึ้นปีใหม่ทางโหราศาสตร์ ซึ่งจะอยู่ประมาณวันที่ 22 ธันวาคมของทุกปี เนื่องจากเป็นวันที่อาทิตย์ปัดใต้สุดของปีสำหรับซีกโลกเหนือ บ่งบอกว่ากำลังจะเริ่มปัดขึ้นเหนือ จึงถือกันว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่ และใช้คำนวณเป็นดวงชะตาที่ส่งอิทธิพลตลอดปีถัดไป

Solstices-Equinoxesการปัดใต้สุดของดวงอาทิตย์ คือการสิ้นสุดของการโคจรปัดลงทางใต้ในปีนั้น และเป็นจุดเริ่มต้นของการโคจรปัดขึ้นเหนือของปี จึงเปรียบเสมือนการเริ่มต้นปีใหม่ คล้ายๆกับในแต่ละวันที่ดวงอาทิตย์โคจรต่ำสุด (เมื่ออ้างอิงจากจุดที่เรายืนบนพื้นโลก) ซึ่งก็คือเวลาเที่ยงคืน ที่เราใช้เป็นจุดสิ้นสุดของวัน และเริ่มต้นเข้าสู่วันใหม่

ปีนี้ วันขึ้นปีใหม่ทางโหราศาสตร์ จะตรงกับวันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม 2561 เวลา 5:23 น. นักโหราศาสตร์ก็มีเคล็ดลับที่จะทำให้ปีใหม่ที่จะมาถึงเป็นปีที่ดีสำหรับเรา ด้วยการใช้หลักปรัชญาที่ว่า “1 วันเสมือน 1 ปี” ที่มาจากการอุปมาอุปไมยว่า หนึ่งวันก็คือโลกหมุนรอบตัวเองหนึ่งรอบ ส่วนหนึ่งปีก็คือโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์หนึ่งรอบ ดังนั้น เราจะถือว่า ตั้งแต่ 5:23 น.ของวันเสาร์ที่ 22 ธันวาคมนี้ จนถึง 5:23 น.ของวันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม ซึ่งก็คือวันแรกของปีใหม่โหราศาสตร์ จะสามารถบ่งบอกชีวิตตลอดปีหน้าได้ทั้งปี

เพื่อให้ปีหน้าทั้งปี เราจะได้เจอแต่สิ่งดีๆ เราจึงต้องคิดแต่เรื่องดีๆ พูดแต่เรื่องดีๆ ทำแต่เรื่องดีๆ ตลอดวันปีใหม่ทางโหราศาสตร์ แล้วเราก็จะเจอแต่เรื่องดีๆไปตลอดปีใหม่เช่นกัน

ในแง่การเงิน เพื่อให้มีเงินเต็มกระเป๋าตลอดปี เราจึงถือเคล็ดว่าในวันปีใหม่นี้ เราก็จะต้องพกกระเป๋าที่มีเงินเต็มกระเป๋าเช่นกัน ซึ่งเคล็ดลับนี้ก็เป็นเคล็ดลับที่ได้จากการขอเงินจากพระจันทร์ทุกๆเดือน ที่ อ.จรัญ พิกุล ปรมาจารย์โหราศาสตร์ยูเรเนียนเมืองไทย ได้สอนลูกศิษย์เอาไว้

อีกเคล็ดหนึ่งที่ผมคิดขึ้นมาว่าน่าจะใช้ได้ผลเช่นกัน คือ ณ เวลาปีใหม่ ซึ่งปีนี้ตรงกับเวลา 5:23 น. ของวันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม 2561 เราควรเริ่มต้นชีวิตดีๆ ด้วยการไหว้พระ สวดมนต์ ผมจึงเลือกบทสวดมนต์ที่เป็นการกล่าวถึงพระอาทิตย์ นั่นคือ บท โมรปริตร หรือบางทีก็เรียกว่า พรหมมนต์

โมรปริตต์ หรือพรหมมนต์ เป็นบทสวดมนต์ว่าด้วยพระโพธิสัตว์เมื่อครั้งเสวยพระชาติเป็นนกยูง ทรงจัดการอารักขาด้วยมนต์นี้ทำให้นายพรานผู้แม้พยายามอยู่เป็นเวลานานก็ไม่สามารถจะจับพระองค์ได้ มนต์บทนี้เป็นการกล่าวนมัสการพระอาทิตย์และสมณพราหมณ์ผู้รู้ในพระธรรมทั้งปวงขอให้มาคุ้มครอง ทั้งเมื่อเวลาอาทิตย์ขึ้นจะไปหากิน และเวลาอาทิตย์ตกที่จะพักอยู่ในรัง การสวดมนต์บทนี้ในวันเวลาปีใหม่จึงเป็นการสร้างมงคลให้กับชีวิตของเราตลอดปีใหม่ได้อย่างดี โดยวิธีการสวดอาจสวดตามกำลังของพระอาทิตย์ คือ 6 จบก็น่าจะเหมาะสม ลองมาสวดต้อนรับปีใหม่กันนะครับ

โมรปริตร

อุเทตยญฺจกฺขุมา เอกราชา,
หริสฺสวณฺโณ ปฐวิปฺปภาโส.
ตํ ตํ นมสฺสามิ หริสฺสวณฺณํ ปฐวิปฺปภาสํ,
ตยชฺช คุตฺตา วิหเรมุ ทิวสํ.
เย พรฺาหฺมณา เวทคุ สพฺพธมฺเม,
เต เม นโม เต จ มํ ปาลยนฺตุ.
นมตฺถุ พุทฺธานํ นมตฺถุ โพธิยา,
นโม วิมุตฺตานํ นโม วิมุตฺติยา.
อิมํ โส ปริตฺตํ กตฺวา โมโร จรติ เอสนา.

อเปตยญฺจกฺขุมา เอกราชา
หริสฺสวณฺโณ ปฐวิปฺปภาโส.
ตํ ตํ นมสฺสามิ หรีสฺสวณฺณํ ปฐวิปฺปภาสํ,
ตยชฺช คุตฺตา วิหเรมุ รตฺตึ.
เย พฺรหฺมณา เวทคุ สพฺพธมฺเม,
เต เม นโม เต จ มํ ปาลยนฺตุ.
นมตฺถุ พุทฺธานํ นมตฺถุ โพธิยา,
นโม วิมุตฺตานํ นโม วิมุตฺติยา.
อิมํ โส ปริตฺตํ กตฺวา โมโร วาสมกปฺปยีติ.

คำแปล

พระอาทิตย์ เป็นดวงตาของโลก เป็นเอกราช มีสีเพียงดังสีแห่งทอง ยังพื้นปฐพีให้สว่างอุทัยขึ้นมา
เพราะเหตุนั้น ข้าขอนอบน้อมพระอาทิตย์นั้น ซึ่งมีสีเพียงดังสีแห่งทอง ยังพื้นปฐพีให้สว่าง
ข้าทั้งหลาย อันท่านปกครองแล้วในวันนี้ พึงอยู่เป็นสุขตลอดวัน
พราหมณ์ทั้งหลายเหล่าใด ผู้ถึงซึ่งเวทในธรรมทั้งปวง
พราหมณ์ทั้งหลายเหล่านั้น จงรับความนอบน้อมของข้า อนึ่ง พราหมณ์ทั้งหลายเหล่านั้น จงรักษาซึ่งข้า
ความนอบน้อมของข้า จงมีแด่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ความนอบน้อมของข้า จงมีแด่พระโพธิญาณ
ความนอบน้อมของข้า จงมีแด่ท่านผู้พ้นแล้วทั้งหลาย ความนอบน้อมของข้า จงมีแด่วิมุตติธรรม
นกยูงนั้นได้กระทำปริตรอันนี้แล้ว จึงเที่ยวไปเพื่ออันแสวงหาอาหาร.

พระอาทิตย์นี้ เป็นดวงตาของโลก เป็นเอกราช มีสีเพียงดังสีแห่งทอง ย่อมอัสดงคตไป
เพราะเหตุนั้น ข้าขอนอบน้อมพระอาทิตย์นั้น ซึ่งมีสีเพียงดังสีแห่งทอง ยังพื้นปฐพีให้สว่าง
ข้าทั้งหลาย อันท่านปกครองแล้วในวันนี้ พึงอยู่เป็นสุขตลอดคืน
พราหมณ์ทั้งหลายเหล่าใด ผู้ถึงซึ่งเวทในธรรมทั้งปวง
พราหมณ์ทั้งหลายเหล่านั้น จงรับความนอบน้อมของข้า อนึ่ง พราหมณ์ทั้งหลายเหล่านั้น จงรักษาซึ่งข้า
ความนอบน้อมของข้า จงมีแด่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ความนอบน้อมของข้า จงมีแด่พระโพธิญาณ
ความนอบน้อมของข้า จงมีแด่ท่านผู้พ้นแล้วทั้งหลาย ความนอบน้อมของข้า จงมีแด่วิมุตติธรรม
นกยูงนั้นได้กระทำปริตรอันนี้แล้ว จึงสำเร็จความอยู่แล.

 

ไพ่ 5 ไม้เท้าแห่งความสับสน

โดย อ.กามล แสงวงศ์
เขียนเมื่อ 19 กันยายน 2558

วันนี้ลูกค้าสาวโทรมาดูดวงด้วย ผมก็ทายตั้งแต่พื้นดวงไปจนถึงเหตุการปัจจุบันตามปกติ หลังจากทายเสร็จ เธอก็บอกว่า เมื่อ4-5เดือนที่แล้ว เธอเคยโทรมาดูดวงแล้ว

อ้าว! เคยดูแล้วก็ไม่บอก เลยเสียเวลากับการอ่านพื้นดวง ซึ่งปกติถ้าเคยดูกันแล้ว ผมก็จะข้ามพื้นดวงมาทำนายเหตุการปัจจุบันเลย ก็เลยถามเธอว่า คำทำนายอันเก่ากับคำทำนายอันใหม่ อันไหนถูกต้องกว่ากัน เธอก็บอกว่าทายตรงกัน… แล้วไป

เธอบอกว่าที่เธอโทรมาครั้งนี้เพราะอยากรู้เรื่องงาน เพราะที่ใหม่ตกลงจะรับเธอ แต่พอที่เก่าทราบ ก็อยากให้เธออยู่โดยจะเลื่อนตำแหน่งให้เป็นผู้จัดการเพิ่มเงินอีก 2-3 พันบาท คราวนี้เธอจึงสับสนว่าจะเอาอย่างไรดี

tarot-wands-05ในดวงของเธอมีไพ่ 5 ไม้เท้าแห่งความสับสนขัดแย้งอยู่ตรงตำแหน่งจุดอ่อน จึงแปลได้ว่า เธอมีจุดอ่อนมาจากความสับสนขัดแย้ง

ปกติแล้ว ไพ่ไม้เท้านี้มักจะถูกแปลเป็นอุปสรรค ติดขัด ขัดแย้ง ด้วน ๆ แค่นี้ แต่ถ้าเราฝึกจินตนาการเพิ่มเข้าไปอีกสักหน่อย มันก็ยังมีความหมายแบบอื่นอีกได้ว่า ความสับสน ความวุ่นวาย อึกทึก การทะเลาะเบาะแว้ง จราจล สถานการณ์ที่มีความอ่อนไหว ความแตกแยก การแบ่งพรรคแบ่งพวก

แต่สำหรับเธอมันคือความสับสนขัดแย้ง จึงทำให้เธอตัดสินใจไม่ได้ ว่าระหว่าง ที่ใหม่ที่ชื่อเสียงและความมั่นคงน้อยกว่าแต่ท้าทาย มีโอกาสกระโดดข้ามขั้นไปได้ไว กับ ที่เก่าที่มีชื่อเสียงดี สวัสดิการดี แต่เติบโตช้า
เธอควรจะเอาอะไร?

ผมบอกเธอว่าถ้าโดยการทำนายก็ทายว่าเธอจะไป แต่ถ้าให้คำแนะนำก็บอกเธอว่า ชีวิตเธอมันต้องลำบากอยู่แล้วไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ต้องลำบาก เพราะเธอต้องเจอกับความแตกแยก ความขัดแย้ง ตามความหมายของไพ่ 5 ไม้เท้าไปตลอดชีวิต ดังนั้นจะอยู่หรือไปก็มีค่าเท่ากัน

ถ้าชีวิตยังไม่พัฒนา ตัวเราก็จะเป็นผู้ก่อเหตุหรือรับเคราะห์ แต่ถ้าเราพัฒนาแล้ว ตัวเราก็เป็นแค่ผู้เห็นเหตุการณ์อย่างปลอดภัย

แล้วเราจะพัฒนาอย่างไร?

เราจะต้องพัฒนาทางด้านการสื่อสารครับ ความสับสนเข้าใจผิดต้องแก้ด้วยการสื่อสารที่ถูกต้อง การสื่อสารประกอบด้วยคำพูด น้ำเสียง ภาษากาย ซึ่งต้องพยายามให้เขาเข้าใจในสิ่งที่เราต้องการอย่างชัดเจน อย่างมีความสุข และคนสำคัญที่เราควรสื่อสารด้วยมากที่สุดคือตัวเอง

ไพ่ความสับสนจะทำให้เราตัดสินใจผิดพลาด เมื่อผิดพลาดก็จะโทษตัวเอง เมื่อโทษตัวเองบ่อยๆก็จะกลายเป็นการสาปแช่งตัวเอง การสาปแช่งตัวเองมากขึ้น ๆ เราก็จะเชื่อว่าเราเป็นคนผิดพลาด อ่อนด้อย ไร้ค่า โชคร้ายจริง ๆ แล้วชีวิตเราก็จะได้อย่างนั้น จึงควรจะปลอบใจตัวเองและให้อภัยตัวเองเมื่อมีความผิดพลาด

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับชีวิต ล้วนเป็นประสบการณ์ ที่ทำให้เราเก่งขึ้น มันเป็นเครื่องมือที่เตรียมไว้ให้เราเอาไว้ใช้แก้ปัญหาในอนาคต ดังนั้น ทุกความผิดพลาดจึงเป็นแค่การรับประสบการณ์ใหม่ ๆ ไม่ใช่ความเสียหายร้ายแรงอย่างที่เราตีโพยตีพาย เมื่อผิดก็แก้ไขให้มันดีขึ้น ก็เท่านั้นเอง

ไพ่คนถูกแขวน ความสำเร็จที่มาจากความเพียร

โดย อ.กามล แสงวงศ์
เขียนเมื่อ 28 สิงหาคม 2558

12 XII. The Hangmanไพ่คนถูกแขวนเป็นไพ่ใบหนึ่งที่ตีความยาก ส่วนใหญ่มักจะตีความในแง่ร้ายอย่างเดียว ว่ามันคืออุปสรรคในด้านต่างๆ ทำให้ทำอะไรไม่ได้ ต้องหยุดนิ่งอยู่กับที่

แต่ถ้าเราแปลความหมายด้วยจินตนาการมันยังให้ความหมายอะไรอีกมากมาย เช่นความชำนาญเฉพาะด้านในระดับมืออาชีพ การเจาะลึก การค้นคว้า วิจัย การอยู่ในกรอบในกฎเกณท์ การยอมเสียสละเพื่อปัญญาหรืออุดมการ การสืบทอด รับการถ่ายทอด พันธุกรรม จารีตประเพณี ความเชื่อที่สืบต่อกันมา และอีกมากมายตามแต่คำถามที่จะถามออกมา

ในดวงลูกค้าท่านหนึ่งที่ยังสาวอายุไม่ถึง 30 ปี เมื่อเปิดดวงขึ้นมา เธอมีไพ่คนถูกแขวนเป็นใบแรก มันก็แปลว่า โดยสัญชาตญาณของเธอ เธอจะเป็นคนมีความรับผิดชอบ หัวดื้อเปลี่ยนแปลงยาก เสียสละด้วยอุดมการณ์ เหมาะกับการมอบหมายภาระให้รับผิดชอบเพราะเป็นคนไม่ทิ้งงาน

tarot-cups-06และเมื่อตำแหน่งพ่อแม่ของเธอบ่งบอกว่ามีความผูกพันกันอย่างมาก (ไพ่ 6 ถ้วย) จึงมีแนวโน้มที่จะต้องทำกิจการของครอบครัว ในด้านการดูแลหรือเกี่ยวกับเด็กๆ ซึ่งปกติถ้าผมเห็นไพ่เด็กประกอบกับไพ่คนถูกแขวนผมมักจะทายว่ามีอาชีพครู เพราะมันแปลว่า ผู้รับผิดชอบในเรื่องเกี่ยวกับเด็ก เช่น รับเลี้ยงเด็กหรือสอนเด็ก และยังแปลขยายออกไปด้วยว่าเด็กระดับอนุบาลหรือประถม เพราะภาพ 6 ถ้วยเป็นเด็กเล็กๆ

เมื่อบอกเธอ เธอก็บอกว่าเธอเป็นเจ้าของโรงเรียนอนุบาล ซึ่งเป็นโรงเรียนที่แม่ของเธอเป็นคนก่อตั้ง

ผมบอกเธอว่าช่วงนี้เธอต้องอดทนเป็นอย่างสูง เพื่อครอบครัว เธอจึงเล่าให้ฟังว่ากิจการของแม่ตอนนี้ขาดทุนมา 2 ปีแล้ว เธอไม่กล้าบอกแม่ เพราะแม่รักโรงเรียนนี้มาก เธอเลยไม่กล้าเลิกกิจการ เพราะกลัวแม่เสียใจ

ถ้าเป็นปกติใครเห็นไพ่คนถูกแขวนก็คงจะบอกให้เลิกไปเถอะ แต่จริง ๆ แล้วไพ่คนถูกแขวนมันแปลว่าเลิกไม่ได้ มันจะค้างเติ่งอยู่แบบนั้น

ผมจึงแนะนำให้เธอปรับตัวให้สอดคล้องกับดวงชะตาให้ชัดเจนขึ้น ตามความหมายของไพ่คนถูกแขวนดังนี้

1.ผมให้เธอเขียนพันธกิจระหว่างโรงเรียนกับเด็กให้ชัดเจนตัวใหญ่ ๆ ติดไว้หน้าโรงเรียน เพื่อให้ผู้ปกครองรู้ว่าเมื่อนำเด็กมาเรียนเด็กจะได้อะไร และครูจะได้รู้ว่าควรทำอะไร ยิ่งถ้ามีหนังสือแจ้งผู้ปกครองว่าแต่ละเทอมเด็กจะได้เรียนรู้อะไรบ้างยิ่งดี

2. กำหนดความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของโรงเรียน ให้เอาอย่างเดียว จะเก่งภาษา เก่งคณิต เก่งการแสดง หรืออะไรก็คัดออกมาแล้วทำให้โดดเด่นเป็นรูปธรรม แล้วผลักดันให้มีการแสดงความสามารถของเด็กสู่สังคมในรูปแบบต่างๆ

3. เน้นการฝึกเด็กให้พึ่งพาตัวเองได้ ด้วยการมีระเบียบวินัย อย่างเช่นการทานข้าวจะต้องเริ่มจากอะไรบ้าง จนจบกระบวนการทานข้าวด้วยการนำจานชามไปที่ล้าง

4. เยี่ยมเยียนนักเรียนที่บ้านเพื่อผูกสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับลูกค้าเก่า ดูแลลูกค้าเก่าให้ดีที่สุด โดยไม่ต้องขวนขวายลูกค้าใหม่ให้เสียเวลา ให้ใส่ใจในการดูแลชุมชนเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน ขอแรงอาสาสมัครชุมชนมาช่วยให้ความรู้เด็กๆในด้านต่างๆเช่นการทำนา การจักสาน การทำอาหาร โดยให้เด็กได้มีกิจกรรมร่วมกันกับวิทยากรรับเชิญ

5.เพื่อหารายได้เพิ่ม โรงเรียนต้องจัดงานประจำปีที่เด็กๆได้แสดงความสามารถทุกชั้นเรียน ถ้าได้ทุกคนยิ่งดี โดยขายบัตรรับประทานอาหาร และมีพิธีมอบรางวัล และการประกวดเด็กแต่ละระดับชั้นเพื่อให้ผู้ปกครองซื้อดอกไม้, พวงมาลัย, มอบให้เด็กที่ตนเองเชียร์ รายได้ทั้งหมดเอามาช่วยค่าใช้จ่ายของโรงเรียน
และให้ทำจนเป็นประเพณีของโรงเรียน

สิ่งเหล่านี้เป็นความหมายของไพ่คนถูกแขวนที่นำมาประยุกต์ทั้งสิ้น เมื่อทำทุกอย่างตามนี้ หัวของคนถูกแขวนในไพ่จะเปล่งประกาย เกิดความฉลาดเห็นวิธีสร้างโอกาสใหม่ๆจากความชำนาญเดิมๆได้ดียิ่งขึ้น

ท่านผอ. ยังสาวบอกว่าชีวิตเธอทำไมลำบากจัง ผมบอกว่า ลำบากอะไรกัน บางคนไปสอบเป็นครูอยู่ 5-6 ปียังไม่ได้รับการบรรจุ แต่นี่เธอจบปุ๊บมีตำแหน่งเป็นผอ. เลย ไม่รู้ว่าโชคดีขนาดไหน

ผมถามเธอว่า…
พระจันทร์เต็มดวงกับพระจันทร์เสี้ยว แบบไหนสวยกว่ากัน
เธอบอกว่าสวยกันคนละแบบ
ผมจึงบอกว่า…
พระจันทร์เต็มดวงก็สวย พระจันทร์เสี้ยวก็งาม แม้แต่คืนที่ไม่มีพระจันทร์ก็ยังงดงาม
เพราะไม่มีพระจันทร์ ดวงดาวจึงส่องประกายให้ฟ้างดงามขึ้นมาได้
มันก็เหมือนชีวิต บางคนมีชีวิตที่สะดวกราบรื่นเหมือนพระจันทร์เต็มดวง บางคนมีชีวิตเดี๋ยวยากเดี๋ยวง่ายเหมือนพระจันทร์เสี้ยว บางคนต้องต่อสู้กับอุปสรรคอย่างโดดเดี่ยวมืดมน เหมือนคืนที่ไร้แสงจันทร์ แต่แท้ที่จริงแล้ว เรายังมีความสำเร็จเล็ก ๆ น้อย ๆ จำนวนมากมาย ที่กลายเป็นเรา จนทำให้เราสวยงามเหมือนคืนที่ระยิบระยับพราวพร่างด้วยแสงดาวนับล้านดวง

ดวงของคุณเป็นดวงที่เกิดมาเพื่อสืบทอดภารกิจของแม่ คุณก็รับผิดชอบให้ดีที่สุด แต่อย่าลืมที่จะหาความสุขใส่ตัวแบบเก็บเล็กผสมน้อยบ้าง

ความสุขมันไม่ได้อยู่ที่ว่าเราจะได้รับมากรับน้อย แต่มันอยู่ที่เราจะยอมรับในสิ่งที่เรียกว่าเท่าที่มี ได้ในขนาดไหน

ยอมรับมากก็สุขมาก ยอมรับน้อยก็สุขน้อย ก็เลือกเอาเอง

ไพ่ 5 ถ้วย: เผชิญหน้ากับเคราะห์ร้าย..เพื่อเปลี่ยนเป็นเคราะห์ดี

โดย อ.กามล แสงวงศ์
เขียนเมื่อ 1 มิ.ย. 2559

ในยุคนี้ เมื่อไหร่ที่ผมได้รับโทรศัพท์นัดหมายจากลูกค้า ผมแทบจะเดาได้เลยว่า เขาโทรมาดูเรื่องงาน เพราะช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ดี คนตกงานกันเป็นว่าเล่น

รายนี้ก็เหมือนกัน เมื่อปลายปีที่แล้วได้โทรมา

เขาอายุ 50 กว่าปี อยู่ในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายขาย มาขอคำปรึกษาในเรื่องงานว่าจะเป็นอย่างไร

พอเปิดขึ้นมาได้ไพ่ 5 ถ้วยเป็นใบที่ 7 ก็หนักใจ


ไพ่ 5 ถ้วยแห่งความผิดหวัง เมื่อมาอยู่ในตำแหน่งจุดอ่อนจะทำให้เจ้าชะตาท้อถอยไม่สู้ชีวิต

เมื่อออกคำทำนายไปว่า ช่วงนี้คงกังวลมากในเรื่องงาน น่าจะกลัวตกงาน และมีโอกาสตกงาน

เขาก็เลยเปิดใจว่า ช่วงนี้แผนกเขาทำยอดไม่ได้ติดต่อกันมาหลายเดือนแล้ว ซึ่งมาจากเศรษฐกิจไม่ดี เขาเลยกลัวโดนไล่ออก

ผมเลยบอกเขาว่า อาจจะได้ออกสมปรารถนา เขาบอกว่าไม่ได้ปรารถนานะ เขากลัวต่างหากล่ะ

ผมดูไพ่ 5 ถ้วยที่เป็นคนก้มหน้าเศร้ามองถ้วยล้ม ทั้ง ๆ ที่มีถ้วยตั้งอยู่ด้านหลัง ซึ่งแปลได้ว่ามองแต่ความล้มเหลว จมอยู่กับความผิดหวัง

แต่แท้ที่จริงแล้ว ยังมีสิ่งดี ๆ รอเราค้นพบอยู่

ภาพสะพานข้ามแม่น้ำที่อยู่ไกลจนเขาสังเกตไม่เห็นนั้น เป็นกุญแจแก้ปัญหาว่ามันมีทางไปเพียงแต่ต้องหามันดี ๆ อย่างอดทน

ผมจึงบอกกับเขาว่า ในดวงบอกว่าคุณในตอนนี้กำลังซวย

ความซวยมาจากความเชื่อว่าตัวเองซวย

ซวยที่ต้องเจอกับพิษเศรษฐกิจแบบนี้

แต่ถ้าคุณอยากรอด คุณก็ต้องกล้าเผชิญกับความจริง

นั่นคือ ช่วงนี้คุณกำลังตกต่ำ

แต่…

แต่คุณก็ต้องจัดการกับปัญหาให้ได้

ด้วยการหาวิธีจัดการกับมันในทุกรูปแบบเพื่อกระตุ้นยอดขาย คุณจะกระตุ้นเซลอย่างไร คุณจะจัดการลดแลกแจกแถมลูกค้าอย่างไร คุณอาจจะต้องประชุมลูกน้องทุกเช้า จัดการแข่งขัน เพิ่มการบริการลูกค้าให้มากขึ้น ผมก็ไม่รู้ว่าคุณจะทำอะไรได้บ้าง

แต่ผมเชื่อว่า ถ้าคุณสู้ตาย คุณก็อาจจะชนะ เพราะไม่มีบริษัทไหนอยากเอาคนเก่าออกหรอก ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ

และอย่าลืมคุยกับเพื่อนในวงการสัก 2-3 คนว่าคุณกำลังมองหางานใหม่ๆที่ท้าทายอยู่นะ เพราะคนที่ยังมีงานทำก็มักจะหางานได้ง่ายกว่าคนตกงาน

หลังจากนั้น วันนี้เขาโทรมาเล่าให้ฟังอย่างสนุกสนานว่า เขาได้ไปปรับปรุงองค์กรหลายอย่าง

จากที่เคยประชุมเซลส์ทุกสัปดาห์ก็เป็นทุกวัน มีการแข่งทำยอดทำเป้า มีระบบวัดความพึงพอใจของลูกค้า และวางกลยุทธในการบริการลูกค้าให้มากขึ้น ฯลฯ จนในที่สุดก็ทำยอดทำเป้าได้มากกว่าเดิมเสียอีก เขาก็มีความสุขกับงานมาก

และมีบริษัทอื่นสนใจอยากได้ผมไปร่วมงานด้วย แต่ผมไม่ไปหรอก เพราะผมยังมีความสุขกับที่นี่อยู่

เขาพูดด้วยน้ำเสียงแจ่มใส ผมก็ชื่นใจไปด้วย

คนเรา เมื่อต้องเจอกับความกลัว ไม่ว่ากลัวล้มเหลว กลัวถูกไล่ออก กลัวถูกปฎิเสธ ฯลฯ

วิธีแก้ไขที่ดีที่สุด คือการเผชิญหน้ากับมัน

คิดหาวิธี แล้วลงมือทำ

การลงมือทำเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เราปลอดภัยมากที่สุด

จงอย่ารอให้เคราะห์ร้ายมาเยือนตามดวง

แต่จงวิ่งชนเคราะห์ร้าย ซึ่งถ้าเราชนมันแรงพอ เคราห์ร้ายก็จะเปลี่ยนเป็นเคราะห์ดีได้นะครับ

โหราศาสตร์ในแฮร์รี่ พอตเตอร์ ตอน 2

โดย พัลลาส Pallas@horauranian.com
เขียนครั้งแรก กันยายน 2550
ปรับปรุงเพิ่มเติม 2 ธ.ค. 2561

ในตอนแรก ผมได้เล่าเรื่องราวของโหราศาสตร์ที่ปรากฏอยู่ในนวนิยายเด็กชื่อดัง แฮร์รี่ พอตเตอร์ โดยหยิบยกมา 2 ประเด็นคือ บ้านทั้งสี่ในโรงเรียนฮอกวอตส์ และ บุคลิกของตัวละครตามวันเกิด อย่างไรก็ดี ยังคงมีประเด็นเกี่ยวกับโหราศาสตร์ในนวนิยายดังกล่าวอีก 3 ประเด็นที่ผมขอยกยอดมาเล่าในตอนที่ 2 เชิญติดตามได้เลยครับ

ประเด็นที่ 3 วิชาพยากรณ์ศาสตร์ (Divination) ในฮอกวอตส์

ในโรงเรียนฮอกวอตส์ วิชาพยากรณ์ศาสตร์ (Divination) เป็นวิชาเลือกที่นักเรียนสามารถเลือกเรียนได้ตั้งแต่ปีที่ 3 เป็นต้นไป (ทั้งนี้ นักเรียนทุกคนจะได้รับการปูพื้นฐานด้วยการเรียนวิชาดาราศาสตร์ (Astronomy) ในปีที่ 1 ซึ่งก็ตรงกับหลักที่อาจารย์อารี สวัสดีเคยสอนไว้หลายครั้งว่า “โหร ถ้าไม่รู้จักดาว ก็ไปได้ไม่ไกล”) ในวิชาพยากรณ์ศาสตร์ นักเรียนจะได้เรียนเทคนิคการพยากรณ์ต่างๆ ตั้งแต่ โหราศาสตร์ (Astrology), การอ่านกากใบชา (Tea leaves), ไพ่ (Cartomancy), อ่านลายมือ (Palmistry), การพยากรณ์จากความฝัน (Dream Interpretation), การพยากรณ์จากลูกแก้ว (Crystal Ball), ทำนายกองไฟ (Fire-omens) ฯลฯ ในนวนิยายเรื่องนี้ เราพบว่า เจเค โรว์ลิ่ง มีความเข้าใจในความแตกต่างของพยากรณ์ศาสตร์ (Divination) และโหราศาสตร์ (Astrology) เป็นอย่างดี เมื่อเธอใช้คำว่าโหราศาสตร์ (Astrology) ก็จะหมายถึงการใช้ปัจจัยบนฟ้ามาพยากรณ์ แต่เมื่อพูดรวมๆทุกวิธีแล้ว ก็จะใช้คำว่า พยากรณ์ศาสตร์ (Divination) นั่นเอง

อาจารย์สอนวิชานี้ในฮอกวอตส์คือ ศาสตรารย์ ซีบิลล์ ทรีลอว์นีย์ ซึ่งเป็นลูกของเหลนของผู้พยากรณ์ที่มีชื่อเสียงและมีพรสวรรค์มากๆ (คาสซานดร้า ทรีลอว์นีย์) แม้ว่าคำพยากรณ์ของทรีลอว์นีย์หลายครั้งจะดูเหมือนการเดาสุ่ม แต่เธอก็มีคำพยากรณ์ที่แม่นยำอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะคำพยากรณ์ที่สำคัญที่สุดของเรื่องที่เธอกล่าวกับดัมเบิลดอร์ในร้านหัวหมู ซึ่งคำพยากรณ์นั้นถูกเก็บไว้ในกองปริศนา กระทรวงเวทมนตร์ (รายละเอียดอยู่ในเล่มที่ 5 ตอนภาคีนกฟีนิกซ์) นอกจากนี้ จากหลายๆเหตุการณ์ที่เธอเข้าไปเกี่ยวข้องพอจะบอกได้ว่า ทรีลอว์นีย์จะเน้นไปในทางการพยากรณ์ที่ไม่ใช้โหราศาสตร์มากกว่า (เธอมักจะกล่าวอ้างถึงญาณวิเศษหรือตาพยากรณ์ของเธออยู่เสมอ) พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ ทรีลอว์นีย์เน้นการพยากรณ์ในแนวทางพรหมลิขิต (Fate) คือโชคชะตาถูกลิขิตไว้เรียบร้อยแล้ว

นอกจากศาสตราจารย์ทรีลอว์นีย์แล้ว ยังมีอาจารย์อีกคนหนึ่งที่สอนวิชาพยากรณ์ศาสตร์ นั่นคือ ฟีเรนซี (Firenze) ผู้ซึ่งเป็นเซ็นทอร์ (Centaur) หรือสัตว์ที่มีส่วนล่างเป็นม้า ส่วนบนเป็นมนุษย์ อีกนัยหนึ่งก็คือราศีธนูในจักรราศีนั่นเอง ฟีเรนซีสอนวิชาพยากรณ์ศาสตร์โดยเน้นไปในทางโหราศาสตร์ ให้นักเรียนดูดวงดาวจริงๆ ตอนหนึ่งฟีเรนซีกล่าวว่า “ฉันรู้ว่าพวกเธอได้เรียนชื่อของดาวเคราะห์ต่างๆและดวงจันทร์ของดาวเหล่านั้นในวิชาดาราศาสตร์ แล้วเธอยังทำแผนที่การโคจรไปบนสรวงสวรรค์ของดวงดาวทั้งหลายด้วย เซ็นทอร์สามารถไขปริศนาของการโคจรเหล่านี้ได้นานหลายศตวรรษมาแล้ว การค้นพบของเราสอนเราว่าอนาคตนั้นสามารถมองเห็นได้จากท้องฟ้าเบื้องบน” ที่น่าสนใจมากกว่านั้น ก็คือการที่ฟีเรนซีบอกว่า บางครั้งเซ็นทอร์ก็อ่านสัญญาณต่างๆผิดพลาดได้ ดังนั้น เรื่องสำคัญที่เขาต้องการทำไม่ใช่สอนสิ่งที่เขารู้ให้พวกนักเรียน แต่เป็นการปลูกฝังพวกเขาว่า ไม่มีอะไรเลย แม้กระทั่งความรู้ของพวกเซ็นทอร์ ที่ไม่มีที่ผิดเลย เรื่องนี้ก็ให้ข้อคิดที่ดีสำหรับนักโหราศาสตร์ว่า อย่าไปยึดมั่นกับคำพยากรณ์จนมากเกินไป หลายๆครั้ง นักโหราศาสตร์เองเป็นผู้แปลความหมายดวงดาวผิดพลาด เรื่องนี้ผมมองว่าคล้ายๆกับศาสตร์อื่นๆ เช่น การแพทย์ ที่การวินิจฉัยโรคใดๆที่เป็นเรื่องสำคัญ คนไข้ควรที่จะได้รับความเห็นที่ 2 จากแพทย์คนอื่น (Second Opinion) มาประกอบการตัดสินใจด้วย เป็นต้น ดังนั้น หากจะตัดสินใจในเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะเกี่ยวกับธุรกิจ ผมแนะนำว่าควรปรึกษาจากนักโหราศาสตร์มากกว่า 1 ท่าน เพื่อลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้

ในทางโหราศาสตร์ เซ็นทอร์เป็นตัวแทนของราศีธนู มาจากเซ็นทอร์ที่ชื่อว่า ไครอน ผู้เปรื่องปราด เชี่ยวชาญวิชาการต่างๆ ทั้งดนตรี เภสัชกรรม การยิงธนู การใช้สมุนไพรทำยา ฯลฯ ที่สำคัญยังเป็นอาจารย์ของวีรบุรุษในตำนานกรีก-โรมันที่สำคัญๆ เช่น อคีลิส เฮอร์คิวลีส เจสัน พีลูส อีเนียส เป็นต้น ต่อมา มหาเทพซุสได้บันดาลให้ไครอนกลายเป็นกลุ่มดาวรูปเซ็นทอร์ถือธนูอยู่บนท้องฟ้า เรียกว่า กลุ่มดาวซาจิททอริอุส (Sagittarius) หรือกลุ่มดาวประจำราศีธนูนั่นเอง ความหมายของราศีธนู หมายถึง นักวางแผน ผู้มองการณ์ไกล เป็นคนที่มองภาพใหญ่มากกว่าจะสนใจภาพย่อย ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ฟีเรนซีจะกล่าวว่า “แต่ส่วนใหญ่เธอเสียเวลาไปเปล่าๆกับเรื่องไร้สาระเพื่อเยินยอตัวเองที่มนุษย์เรียกขานกันว่า การทำนายโชคชะตา แต่ฉันเอง มาที่นี่เพื่ออธิบายถึงปัญญาของพวกเซ็นทอร์ ซึ่งไม่ได้หมายความเจาะจงที่ใครคนใดคนหนี่งและไม่เข้าข้างใครเลย เราเฝ้าดูฟากฟ้าเพื่อหาแนวโน้มของความชั่วร้ายหรือการเปลี่ยนแปลงที่บางครั้งบางคราวได้จารึกไว้บนนั้น อาจต้องใช้เวลาถึงสิบปีที่จะแน่ใจว่าสิ่งที่เราเห็นนั้นคืออะไร” นี่เป็นอีกครั้งที่เจเคซ่อนความหมายของจักรราศีไว้ในตัวละครของเธออย่างแนบเนียน  

 

ประเด็นที่ 4 ชื่อตัวละครและความหมายแฝง

อัจฉริยภาพของเจเค โรว์ลิ่ง ผู้แต่งนิยายเรื่องนี้แสดงออกมาให้เห็นส่วนหนึ่งจากการตั้งชื่อตัวละครต่างๆ ที่แฝงความหมายจากตำนานเทพนิยายและดาราศาสตร์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับโหราศาสตร์อย่างแยกไม่ออก เริ่มจาก ชื่อของอาจารย์ประจำวิชาพยากรณ์ศาสตร์ ศาสตราจารย์ ซีบิลล์ ทรีลอว์นีย์ (Sibyll Trelawney หนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์ ฉบับ UK Edition สะกดว่า Sybill แตกต่างกับฉบับ US Edition ซึ่งสะกดว่า Sibyll) คำว่า “ซีบิล (Sibyll)” มาจากภาษาละติน แปลว่า นักพยากรณ์ ลักษณะการพยากรณ์ของซีบิลจะอยู่ในรูปแบบของการถ่ายทอดคำพยากรณ์จากพระเจ้าหรือเทพเจ้ามาสู่มนุษย์ เช่นจากเทพอพอลโล ฯลฯ โดยไม่จำเป็นต้องให้มีคนมาปรึกษาหรือสอบถาม ลักษณะก็คงตรงกับศาสตราจารย์ทรีลอว์นีย์ ที่มักพยากรณ์อนาคตให้นักเรียนทั้งๆที่ไม่มีใครถาม ในตำนาน ซีบิลที่มีชื่อเสียงมีอยู่หลายคน แต่ที่โด่งดังมากมีอยู่ 3 คน ได้แก่ Delphic Sibyl ที่พยากรณ์ในอำนาจแห่งเทพอพอลโล ณ วิหารเดลฟี เชิงเขา Parnassus ประเทศกรีซ, Erythraean Sibyl ผู้พยากรณ์การเกิดสงครามกรุงทรอย, และ Cumaean Sibyl ผู้พยากรณ์การมาของพระเยซู

บรรพบุรุษของศาสตราจารย์ทรีลอว์นีย์ (Grand-great-grandmother) ชื่อว่า คาสซานดร้า (Cassandra) เป็นแม่มดที่เป็นนักพยากรณ์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากในยุคของเธอ ซึ่งชื่อของเธอก็ตรงกับ คาสซานดร้า ธิดาของท้าวเพรียม ผู้ซึ่งมีความสามารถในการพยากรณ์อนาคตได้อย่างแม่นยำ ในตำนานสงครามเมืองทรอย เธอได้พยากรณ์ผลของสงครามกรุงทรอยได้อย่างถูกต้อง และเตือนไม่ให้ชาวทรอยนำม้าไม้ (Trojan horse) เข้ามาในเมือง แต่เทพอพอลโลสาปไว้ไม่ให้มีใครเชื่อคำพยากรณ์ของเธอ ในที่สุดเมืองทรอยก็ล่มสลาย      

อาจารย์อีกท่านหนึ่งในฮอกวอตส์ ผู้ซึ่งเป็นอาจารย์ประจำบ้านกริฟฟินดอร์ คือศาสตราจารย์ มิเนอร์ว่า มักกอนนากัล (Minerva McGonagall) คำว่า มิเนอร์ว่า นั้นเป็นชื่อโรมันของเทพีอธีนาซึ่งเป็นชื่อกรีก เทพีมิเนอร์ว่าเป็นเทพีผู้ครองปัญญาและวิทยาการ ทำให้บรรดามหาวิทยาลัยต่างๆมักนำรูปของเธอเป็นตราสัญลักษณ์, อนุสาวรีย์ หรือรูปแบบอื่นๆ เช่น La Sapienza University ในโรม, Columbia University สหรัฐอเมริกา, University of Lincoln สหราชอาณาจักร ฯลฯ นอกจากนี้แล้ว ชื่อของเธอยังเป็นที่มาของเมืองเอเธนส์ (Athena => Athens) อีกด้วย ในฐานะที่ชนะเทพเจ้ามาร์สในการแข่งขัน (นามปากกาของผม Pallas ก็เป็นอีกชื่อหนึ่งของเทพีอธีนาเช่นกัน) ศาสตราจารย์มักกอนนากัลก็มีบุคลิกตรงกับเทพีมิเนอร์ว่าอยู่มาก เนื่องจากเป็นคนฉลาด มีความเป็นผู้ใหญ่ รวมถึงในด้านการต่อสู้ก็ไม่แพ้ใคร ทำให้สามารถรับตำแหน่งอาจารย์ใหญ่แทนศาสตราจารย์ดับเบิลดอร์ได้อย่างเหมาะสม

พ่อบุญธรรมของแฮร์รี่ คือ ซิเรียส แบล็ค (Sirius Black) ชื่อซิเรียส มาจากชื่อของดาวฤกษ์ซิริอุส (Sirius) ซึ่งเป็นดาวที่สุกสว่างที่สุดในกลุ่มดาวหมาใหญ่ (Canis Major) ในเรื่องนี้ เจเค โรวลิ่ง นำมาใช้อย่างแนบเนียนด้วยการให้ซิเรียสแปลงร่างเป็นสุนัขดำ และใช้นามแฝงในกลุ่มเพื่อนว่า เท้าปุย (Padfoot) นั่นเอง

เดรโก มัลฟอย นักเรียนร่วมรุ่นของแฮร์รี่ ชื่อของเขา เดรโก (Draco) ก็จะตรงกับ กลุ่มดาวมังกร (Draco) ซึ่งอยู่ใกล้กับขั้วโลกเหนือ (กลุ่มดาวนี้มักถูกเรียกสับสนกับกลุ่มดาวในแถบจักรราศีที่เรียกว่า มกร เพราะมังกรหมายถึงงูใหญ่ ส่วนมกรหมายถึงแพะภูเขา ซึ่งไม่เหมือนกัน ดังนั้นในโหราศาสตร์จะมีแต่ราศีมกรเท่านั้น ไม่มีราศีมังกร) กลุ่มดาวมังกรก็หมายถึงงูใหญ่ ซึ่งก็ตรงกับสัญลักษณ์ของบ้านสลิธีริน ที่เดรโก มัลฟอย สังกัดอยู่

เพื่อนอีกคนหนึ่งของแฮร์รี่ที่มีบุคลิกแปลกๆ นั่นคือ ลูน่า เลิฟกู๊ด (Luna Lovegood) หรือ เลิฟกู๊ดสติเฟื่อง นั่นเอง คำว่า ลูน่า (Luna) นั้นหมายถึงพระจันทร์ในภาษาละติน ซึ่งในตำนานกรีกหมายถึง เทพีซีลีนี ผู้ลึกลับและนำเราไปสู่ห้วงจินตนาการเพื่อเปิดเผยความจริง บ่งบอกถึงด้านในของชีวิต (รายละเอียดสามารถอ่านได้ในบท ไพ่หมายเลข 2 The High Priestess นักบวชหญิง ในหนังสือ ชี้ทางชีวิตด้วยไพ่เมเจอร์ ) ซึ่งคล้ายคลึงกับบุคลิกของลูน่าที่มักจะมองโลกด้วยแง่มุมแปลกๆ เต็มไปด้วยจินตนาการ และเชื่อว่าทุกเรื่องมีความลี้ลับซ่อนอยู่ ทำให้ค่อนข้างแปลกแยกจากคนอื่น ไม่ค่อยมีใครกล้ามาคุยด้วย

 

ประเด็นที่ 5 พรหมลิขิตหรือกรรมลิขิต (Fate or Freewill)

นวนิยายเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์ ได้แตะประเด็นสำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งในโหราศาสตร์ นั่นคือ พรหมลิขิต หรือ กรรมลิขิต (Fate or Freewill) ในอดีต มักมีความเชื่ออยู่ว่า ชะตาชีวิตของมนุษย์ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าตั้งแต่กำเนิดแล้ว ดังนั้น เหตุการณ์ต่างๆในชีวิตมนุษย์จะสามารถบอกได้อย่างชัดเจนจากดวงชะตากำเนิด มนุษย์ไม่สามารถฝืนชะตาฟ้าลิขิตไปได้ ทัศนคตินี้ยังคงฝังรากลึกในความเชื่อของคนทั่วไปจนถึงปัจจุบัน ความเชื่อลักษณะนี้เรียกได้ว่า “เชื่อในพรหมลิขิต (Fate)”

อย่างไรก็ตาม โหราศาสตร์แนวใหม่ โดยเฉพาะโหราศาสตร์แบบวิทยาศาสตร์ ดังเช่น โหราศาสตร์ยูเรเนียน มีแนวคิดที่แตกต่างออกไป โดยเชื่อว่า มนุษย์มีทางเลือก และสามารถเลือกดำเนินชีวิตตามความต้องการของแต่ละคนได้ แต่คงอยู่ในภายใต้กรอบของกฎแห่งกรรม ดังนั้น โหราศาสตร์ในแนวคิดจึงเป็นเพียงเครื่องมือในการบอกแนวโน้มของชีวิต ซึ่งมนุษย์สามารถนำไปประกอบในการตัดสินใจเรื่องต่างๆในชีวิตต่อไป ความเชื่อนี้ผมขอเรียกว่า “เชื่อในกรรมลิขิต (Freewill)”

นวนิยายแฮร์รี่ พอตเตอร์ กล่าวถึงเรื่องนี้หลายตอน เช่นในเล่มที่ 2 ตอนห้องแห่งความลับ บทที่ 18 แฮร์รี่ได้ถามศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์ว่า หมวกคัดสรรบอกว่าแฮร์รี่จะทำได้ดีทีเดียวถ้าอยู่บ้านสลิธีริน เพราะพูดภาษาพาร์เซลได้ (ภาษาที่พูดคุยกับงู) อีกทั้งได้รับถ่ายทอดพลังบางอย่างจากโวลเดอมอร์ในคืนที่ทิ้งรอยแผลเป็นไว้ให้แฮร์รี่ รวมถึงมีคุณสมบัติหลายอย่างที่ซัลลาซาร์ สลิธีริน ผู้ก่อตั้งบ้านสลิธีรินให้ความสำคัญมาก แล้วทำไมหมวกยังส่งแฮร์รี่ไปอยู่บ้านกริฟฟินดอร์ คำตอบก็คือ แฮร์รี่เลือกที่จะไม่ไปอยู่บ้านสลิธีรินนั่นเอง ดัมเบิลดอร์ได้สรุปว่า สิ่งที่ทำให้แฮร์รี่แตกต่างจากโวลเดอมอร์ นั่นคือ การเลือกของคนเรานั่นเองที่จะแสดงให้เห็นว่าจริงๆแล้วเราเป็นคนอย่างไร ยิ่งไปเสียกว่าความสามารถของเรามากนัก

อีกตอนหนึ่งในเล่มที่ 5 ตอนภาคีนกฟีนิกซ์ บทที่ 37 เมื่อดัมเบิลดอร์ได้ให้แฮร์รี่ได้ฟังคำพยากรณ์ของซีบิลล์ ทรีลอว์นีย์ว่า “ผู้มีอำนาจจะปราบเจ้าแห่งศาสตร์มืดใกล้เข้ามาแล้ว…เกิดกับคนที่ท้าทายเขาถึงสามหน เกิดเมื่อเดือนที่เจ็ดวางวาย…และเจ้าแห่งศาสตร์มืดจะทำเครื่องหมายเขาในฐานะผู้เท่าเทียม แต่เขานั้นจะมีอำนาจที่เจ้าแห่งศาสตร์มืดหารู้จักไม่…และคนหนึ่งจะต้องตายด้วยน้ำมือของอีกคน เพราะทั้งสองจะไม่อาจอยู่ได้ถ้าอีกคนยังอยู่รอด” ตอนที่โวลเดอมอร์ได้ยินคำพยากรณ์นี้จากบริวารของเขา เขาได้ยินเพียงแค่ถึงตอนที่ว่า เกิดเมื่อเดือนที่เจ็ดวางวาย เท่านั้น ซึ่งเด็กที่เกิดวันสุดท้ายของเดือนกรกฎาคม และเกิดกับพ่อแม่ที่ได้ท้าทายโวลเดอมอร์มาแล้วสามครั้ง มีอยู่ 2 คน นั่นคือ แฮร์รี่ พอตเตอร์ และเนวิลล์ ลองบัตท่อม อย่างไรก็ดี โวลเดอมอร์นั่นเองเป็นผู้เลือกที่จะทำเครื่องหมายเขาในฐานะผู้เท่าเทียมกับแฮร์รี่ ไม่ใช่เนวิลล์ นี่เป็นอีกครั้งที่ การเลือกของมนุษย์ส่งผลมากกว่าคำพยากรณ์เพียงอย่างเดียว

ตอนที่ผมชอบมากอีกตอนหนึ่งอยู่ในเล่มที่ 6 ตอนเจ้าชายเลือดผสม บทที่ 23 ตอนนี้ดัมเบิลดอร์พยายามที่จะสอนให้แฮร์รี่เข้าใจถึงอำนาจที่เจ้าแห่งศาสตร์มืดหารู้จักไม่ นั่นคือ ความรัก ดัมเบิลดอร์พูดตอนหนึ่งว่า “แต่แฮร์รี่ อย่าลืมเด็ดขาดว่า สิ่งที่คำพยากรณ์บอกจะมีความสำคัญก็ต่อเมื่อโวลเดอมอร์ทำให้มันเป็นไปดังนั้น ฉันบอกเธอเรื่องนี้แล้วเมื่อปลายปีก่อน โวลเดอมอร์เจาะจงเลือกว่าเธอคือคนที่จะเป็นอันตรายต่อเขามากที่สุด และเมื่อทำเช่นนั้น เขาทำให้เธอกลายเป็นคนที่อันตรายต่อเขามากที่สุด!” จากนั้นดัมเบิลดอร์พยายามที่จะสอนให้แฮร์รี่ตระหนักถึงความสำคัญของการเลือกที่จะทำ มากกว่า การปล่อยให้เป็นไปตามคำพยากรณ์อย่างเดียว “แน่นอน เธอต้องทำ! แต่ไม่ใช่เพราะคำพยากรณ์! เพราะเธอ ตัวเธอเองนั่นละ จะไม่มีวันหยุดจนกว่าเธอจะได้พยายามทำ! ..” “..เธอเป็นอิสระที่จะเลือกทางของเธอเอง อิสระที่จะหันหลังให้คำพยากรณ์นั่นได้! ..” ตอนท้ายของบท แฮร์รี่ก็เข้าใจว่า มันมีความแตกต่างกันระหว่างการถูกลากตัวเข้าไปในสังเวียนเพื่อเผชิญหน้าการต่อสู้ที่ถึงตาย กับการเดินเข้าไปในสังเวียนด้วยหัวที่เชิดสูง บางคนอาจจะพูดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยนักที่ได้เลือกระหว่างทางทั้งสองนี้ แต่ดัมเบิลดอร์และแฮร์รี่ต่างก็รู้ว่า นั่นคือความแตกต่างทั้งมวลในโลกนี้

ในนวนิยายเรื่องนี้ หลายๆตอนมักทำให้คนอ่านรู้สึกว่าวิชาพยากรณ์ศาสตร์เป็นเรื่องเหลวไหล ไม่น่าเชื่อ จากบุคลิกที่น่าขบขันของศาสตราจารย์ทรีลอว์นีย์ อย่างไรก็ดี เจเค โรว์ลิ่งกลับเขียนให้เป็นไปว่า คำพยากรณ์สำคัญหลายๆครั้งของทรีลอว์นีย์กลับมีความแม่นยำอย่างไม่น่าเชื่อ สำหรับผมแล้ว ผมว่าประเด็นที่เจเคพยายามจะสื่อให้คนอ่านรับรู้ก็คือ ไม่ว่าคำพยากรณ์จะเป็นอย่างไร มนุษย์นั่นเองที่เป็นผู้ตัดสินใจเลือกที่จะทำหรือไม่ทำ ไม่ใช่คำพยากรณ์ ความแตกต่างระหว่างการเลือกที่จะทำ กับการทำตามคำพยากรณ์ที่คนอื่นบอก สร้างผลลัพธ์ที่ต่างกันอย่างมาก แน่นอนการเลือกเองของมนุษย์ย่อมเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่า ประเด็นนี้เองที่ผมรู้สึกว่าคือหัวใจของนวนิยายเด็กเรื่องนี้